เรื่อง: ไหใครแตก โอ้... กรุงเดลลี
การมาเยือนอินเดียคราวนี้
หอบหิ้วสัมภาระทุกอย่างมาครบ ยากอยู่สักหน่อย ตอนแพ็คกระเป๋าออก เดินทางจากประเทศไทย
เพราะต้องแยกไว้สำหรับที่ต้องใช้ระหว่างการต่อเครื่อง ยัดใส่กระเป๋าใบเล็ก ใบเดียว
ส่วนที่ต้องโหลด ต้องให้มั่นใจว่าน้ำหนักกระเป๋าไม่เกินพิกัด กระเป๋าลากใบเขื่อง
ในนั้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้า ยาแก้ขี้แตก จำพวกอีโมเดี่ยม สารให้เกลือแร่ ฯลฯ
![]() |
| เอกสารวีซ่าเข้าเมกา รักษาเท่าชีวิต ระหว่างอยู่อินเดีย หนึ่งเดือน |
ไม่ได้ห่วงหรอกนะ
เรื่องอากาศร้อน เพราะก่อนจะออกจากประเทศไทย ก็ร้อนตับแทบแตก คงใช้ ๆ
สิ่งของที่คุ้นเคย ไม่จำเป็นต้องซื้อ อะไรแปลกใหม่พิศดาร จะว่าไป
ไอ้เจ้ายาแก้ขี้แตก ย้ำนะครับ “แก้” นะ ไม่ใช่ “กัน”
ดังนั้นก็รับรองไม่ได้หรอกว่า จะไปป๊ะ อาหารมีเจ้าเชื้ออหิวา ติดมาด้วยหรือป่าว
ยิ่งหน้าร้อน พูดในใจ เออ...เอาน๊า เดี๋ยวก็รู้เอง
พอล้อเครื่องบินแตะรันเวย์
สนามบินระหว่างประเทศที่กรุงเดลี โซนเวลาจากที่อินเดียกับที่ไทย ไม่ต่างกันมาก
ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาเจ็ทแลค ไม่ต้องปรับอุณหภูมิร่างกายให้สิ้นแรง แต่ตอนลงเครื่องนี่ซิ เล่นเอางง อยู่เหมือนกัน
เพราะด้วยตารางเวลาบิน ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ตี 2:20 ใช้เวลาบินถึงกรุงเดลลี เกือบ 5 ชั่วโมง
การเดินทางออกจากประเทศไทยครั้งนั้น ไม่ได้มีวี่แววว่าจะจัดขบวน
แห่แหนกลองยาว ยิ่งใหญ่ด้วยฝูงญาติมหาชน มีเพียงน้องสาวที่ทำงานในกรุงเทพฯ
เพียงคนเดียว ที่ไปส่ง แต่แค่เราสองคน ก็เล่นเอาน้ำตาท่วมอาคารผู้โดยสารได้ ซึ้งใจ
บวกกับใจหายวาบ ลำพังแค่ฉันคนเดียวไม่เท่าไหร่ แต่น้องสาวตัวดี อยู่ ๆ
บ่อน้ำตาก็ไหลพราก จึงต้องออกปากไล่ให้กลับ เพราะเดี๋ยวแอร์พอร์ตลิ้งค์หมดเที่ยว
ลำบากระวังตัวขึ้นแท็กซี่หลังเที่ยงคืน
| น้องสาว มาส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ |
นั่งถอนหายใจอยู่ลึก ๆ ก่อนจะเดินผ่านจุดตรวจลงตรา
ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เข้าไปยัง gate C3 รอเครื่องเทียบ ปีกอาคารอยู่อีกฟาก กับจุดตรวจ เดินจนขาลาก พยายามไม่เดินเร็ว
เพราะเผื่อเวลาเกือบสองชั่วโมง ยิ่งใกล้ถึงเกทมากขึ้นเท่าไหร่ แสงไฟในตัวอาคาร
เริ่มมืดลง ๆ เอาหล่ะครับ มาแล้ว กลิ่นเริ่มเตะจมูก ทั้งง่วง ทั้งมืด แถมแจ็คพ็อต
อุทานเป็นภาษาไทย “ตีนใครเน่าว่ะ” โหย ขยี้ตามองให้ชัด
นอนกันเรี่ยราดจองพื้นที่เต็มม้ายาว นี่ถ้าไม่มีภาษาไทยกำกับ สำหรับเที่ยวบิน
และจุดจอด อยากจะนึกในใจเล่น ๆ ว่าถึงอินเดียแล้ว
| เช็คอิน กับสายการบินนี่แหล่ะ ถูกดี... |
สายการบินที่จองไว้เป็นสายการบินราคาถูก
99 เปอร์เซ็นต์เป็นคนอินเดีย เดินทางมาหาญาติที่ไทย
มองซ้ายทีขวาที ไม่มีวี่แววว่าจะเจอคนไทย ไปทัวร์แสวงบุญ คิดในใจ “เอาว่ะ
สร้างภูมิคุ้มกันให้นาสิกประสาท ก่อนถึงกรุงเดลลี” ว่าแล้วก็ล้วงกระเป๋า
ดึงผ้าพันคอวิเศษ พันรอบจมูกสักสองรอบ ตามด้วยพ็อคเก็ตบุ๊ค นั่งอ่านใต้ไฟสลัว ๆ
เทียวดีเทียวร้าย ใช้พัดวี ไล่กลิ่นเป็นระยะได้ พยายามหาอะไรทำ
นั่งขีดเขียนวาดภาพเล่นเป็นระยะ ไม่เช่นนั้นคงเผลอหลับ ตกเครื่องเอาได้
ต้องขอบคุณกลิ่นเท้าแขกกลุ่มนั้น
ไม่เช่นนั้นคงจะผล็อยหลับ ได้เวลาขึ้นเครื่อง จัดการหาที่นั่ง
ผ้าพันคอยังอยู่โดยรอบจมูก คลุมหน้า ตั้งใจหลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ที่นั่งจองไว้ขอไม่ติดกับหน้าต่าง อาจเดินออกมายาก และคงไม่มีโอกาสเห็นอะไร
ข้างนอกมืดตึ๊ดตื๋อ
| เกทรอขึ้นเครื่อง กับกลุ่มแขก บินไฟล์ทเดียวกัน |
พอถึงสนามบิน
ไม่สเมลล์เวลคั่มอย่างที่คิดไว้ ข้างในอาคารสวยงาม ดูมีระเบียบ ไม่สกปรก
มีการตกแต่ง ประดับประดาภายในอย่างดี มีปฏิมากรรมรูปมือ ตรงจุดตรวจคนเข้าเมืองด้วย
เห็นเพื่อนฝรั่งบางคนเอารูปมาอวด มีรูปหล่อเกี่ยวกับโยคะ แต่เราไม่ยักกะเห็น
สงสัยคงจะขาเข้าคนละฝั่งจากทางยุโรป ใช้เวลาทำความคุ้นเคยอยู่ข้างใน
เดี๋ยวขาออกนอกประเทศต้องใช้บริการอีกที พูดแล้วก็อดใจไม่ไหว
อีกตั้งหนึ่งเดือนกว่จะได้บินออกจากอินเดีย พอเริ่มคิดก็เริ่มวิตกจริต จะมีชีวิตรอดพ้นวิกฤติขี้แตก
แขกเครื่องเทศ ไหมหนอ คิดไปพลาง มองหาช่องตรวจลงตรา
สำหรับผู้ถือพาสปอร์ตต่างประเทศไทย มี แล้วคนชาติอื่น ไม่มีใช้บริการบ้างหรือไง
พยายาม มองหาฝรั่งหัวทอง เห็นแต่โพกผ้า ไว้เคราเข้มกันเชียว ทีนี่จะถามใครดีหล่ะ
มองหาใครก็ไม่มีให้ถาม
| ถึงแล้ว เดลลี แอร์พอร์ต ...ปฏิมากรรมกับการตกแต่งภายใน |
ส่ายสายตามองหาเจ้าหน้าที่
สงสัยคงจะยังเช้าตรู่กันอยู่ ยืนต่อคิว สุ่มไปก่อนก็แล้วกัน ไม่รีบ
เผื่อโดนไล่ต่อแถวอื่น ค่อยว่ากัน พอไปถึงหน้าเคาเตอร์ ยิ้มสยม อุ้ย...สยามซิครับ
โปรยสวาทจนปากจะฉีกถึงรูหู “เอาน๊า จะไล่ไปต่อแถวอื่นก็รีบไล่” คิดในใจ
ปากยังอ้าค้าง ยิ้มแฉ่ง อีตาแขกไม่ใยดี พลิกหน้าพาสปอร์ต เอียงซ้ายทีขวาที
ดูตั๋วเครื่องบินที่จองไว้ กับสแตมป์ผ่านแดนมาจากไทยแลนด์
ฉันมัวแต่จ้องเคราดกดำ เผลอคิดลึกไปไกลถึงใต้สะดือ บรื๋ออออ คงจะเงางามยาวเฟื้อยแน่นอน เหย๋ย รู้นะว่าคิดไร...ขนขาจ๊า คงจะยาวเป็นอุรังอุตังจริงเชียว ดึงจิตกลับมาอยู่ที่พาสปอร์ต
ฉัน “หา?
พูดอะไรนะ ไม่ค่อยได้ยิน” พูดไปก็ทำมือวน ๆ ที่หู เหมือนว่าตอนนี้ หูกำลังอื้อ
เพราะเพิ่งลงจากเครื่อง แต่ที่ไหนได้ มัวแต่จ้องเคราอีตาแขก
อีตาแขก
“มาทำอะไร?”
ฉัน
“มาฝึกคอร์สครูโยคะ”
อีตาแขกยังพลิกหน้าพาสปอร์ตซ้ายทีขวาที
“แล้วตั๋วที่จองไว้ทำไมไปที่อังกฤษ”
ฉันคิดในใจ
แหม...ยุ่งไม่เข้าเรื่องนะอีตาแขก คิดจะโกนหนวดบ้างไหม ช่างเบนความสนใจเสียจริง ๆ
แต่ปากก็ตอบไป “ออ...ไปทรานซิท ยิงยาวไปเมกาจ๊า”
เท่านั้นแหล่ะ สั้น
ๆ อีตาแขกสั่งให้ถอยห่างออกไปหน่อย มองไปที่กล้อง แช๊ะ...แล้ว
สแตมป์ลงตราเข้าเมืองผ่านมาได้ แต่กว่าจะหลุดออกมาได้ หัวใจจะวาย
จะเจอแขกเครายาวอีกไหมเนี้ย ขี้เกียจจะใช้จินตนาการ
ไปดักกระเป๋าโหลดสัมภาระ
ขณะยืนรอ เอาหล่ะครับ กลิ่นฟุ้งมาอีกเป็นระยะ วิถีกระจายเข้ามาใกล้ทุกฝีก้าว
ภาวนาในใจ ให้อีสายพานหมุนเร็วหน่อย ยิ่งเพลียนอนน้อย บอกเลย “จะเป็นลม” ไม่ซิ
ฉันต้องอดทน ทันใดนั้น เหมือนสวรรค์ทรงโปรด เข้าใจแรงอธิษฐาน กระเป๋าฉันมาแล้ว
โยกตัวกระชากกระเป๋า โยนขึ้นรถเข็น ไถลออกไป ประหนึ่งกำลังถ่ายหนังฟาสต์ 7
มีโทนี่ จา เป็นโคชอยู่ข้างหลัง มองหาร้านกาแฟ
ได้มุมสงบ
| กาแฟ ดับง่วง ก่อนออกจากแอร์พอร์ต |
สวรรค์มาโปรด
จัดอเมริกาโน่มาแก้วใหญ่ จ่ายเงินรับใบเสร็จ บาริสต้าหนุ่มน้อย ผายมือให้ไปนั่งรอ
เดี๋ยวไม่นานจะเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ ฉันหย่อนก้น เอนหลังพิงโซฟานุ่มนิ่ม
ถอนหายใจไปพักใหญ่ ไม่นานเกินรอ อื้อหือ...แม่เจ้า ทำไมไม่บอกเจ๊เนี้ย คนเสิร์ฟครบเครื่องชายแขก
ทั้งเคราเฟื้อย ผ้าโพกหัว กลิ่นตีนเน่า แถมกลิ่นเต่ามานิด ๆ
หมดกัน อเมริกาโน่
แก้วใหญ่ของฉ้านนนน
สามเกลอ
98584- U.S.A.
สามเกลอ
98584- U.S.A.









