Tuesday, June 16, 2015

สเมล์เวลคั่ม สู่....กรุงเดลลี

เรื่อง: ไหใครแตก โอ้... กรุงเดลลี


การมาเยือนอินเดียคราวนี้ หอบหิ้วสัมภาระทุกอย่างมาครบ ยากอยู่สักหน่อย ตอนแพ็คกระเป๋าออก เดินทางจากประเทศไทย เพราะต้องแยกไว้สำหรับที่ต้องใช้ระหว่างการต่อเครื่อง ยัดใส่กระเป๋าใบเล็ก ใบเดียว ส่วนที่ต้องโหลด ต้องให้มั่นใจว่าน้ำหนักกระเป๋าไม่เกินพิกัด กระเป๋าลากใบเขื่อง ในนั้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้า ยาแก้ขี้แตก จำพวกอีโมเดี่ยม สารให้เกลือแร่​ ฯลฯ​


เอกสารวีซ่าเข้าเมกา รักษาเท่าชีวิต ระหว่างอยู่อินเดีย หนึ่งเดือน

ไม่ได้ห่วงหรอกนะ เรื่องอากาศร้อน เพราะก่อนจะออกจากประเทศไทย ก็ร้อนตับแทบแตก คงใช้ ๆ สิ่งของที่คุ้นเคย ไม่จำเป็นต้องซื้อ อะไรแปลกใหม่พิศดาร จะว่าไป ไอ้เจ้ายาแก้ขี้แตก ย้ำนะครับ “แก้”​ นะ ไม่ใช่ “กัน”​ ดังนั้นก็รับรองไม่ได้หรอกว่า จะไปป๊ะ อาหารมีเจ้าเชื้ออหิวา ติดมาด้วยหรือป่าว ยิ่งหน้าร้อน พูดในใจ เออ...เอาน๊า เดี๋ยวก็รู้เอง 

พอล้อเครื่องบินแตะรันเวย์​ สนามบินระหว่างประเทศที่กรุงเดลี โซนเวลาจากที่อินเดียกับที่ไทย ไม่ต่างกันมาก ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาเจ็ทแลค ไม่ต้องปรับอุณหภูมิร่างกายให้สิ้นแรง  แต่ตอนลงเครื่องนี่ซิ เล่นเอางง อยู่เหมือนกัน เพราะด้วยตารางเวลาบิน ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ตี 2:20 ใช้เวลาบินถึงกรุงเดลลี เกือบ 5 ชั่วโมง

การเดินทางออกจากประเทศไทยครั้งนั้น ไม่ได้มีวี่แววว่าจะจัดขบวน แห่แหนกลองยาว ยิ่งใหญ่ด้วยฝูงญาติมหาชน มีเพียงน้องสาวที่ทำงานในกรุงเทพฯ เพียงคนเดียว ที่ไปส่ง แต่แค่เราสองคน ก็เล่นเอาน้ำตาท่วมอาคารผู้โดยสารได้ ซึ้งใจ บวกกับใจหายวาบ ลำพังแค่ฉันคนเดียวไม่เท่าไหร่ แต่น้องสาวตัวดี อยู่ ๆ บ่อน้ำตาก็ไหลพราก จึงต้องออกปากไล่ให้กลับ เพราะเดี๋ยวแอร์พอร์ตลิ้งค์หมดเที่ยว ลำบากระวังตัวขึ้นแท็กซี่หลังเที่ยงคืน


น้องสาว มาส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ





นั่งถอนหายใจอยู่ลึก ๆ ก่อนจะเดินผ่านจุดตรวจลงตรา ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เข้าไปยัง gate C3 รอเครื่องเทียบ ปีกอาคารอยู่อีกฟาก กับจุดตรวจ เดินจนขาลาก พยายามไม่เดินเร็ว เพราะเผื่อเวลาเกือบสองชั่วโมง ยิ่งใกล้ถึงเกทมากขึ้นเท่าไหร่ แสงไฟในตัวอาคาร เริ่มมืดลง ๆ เอาหล่ะครับ มาแล้ว กลิ่นเริ่มเตะจมูก ทั้งง่วง ทั้งมืด แถมแจ็คพ็อต อุทานเป็นภาษาไทย “ตีนใครเน่าว่ะ”​ โหย ขยี้ตามองให้ชัด นอนกันเรี่ยราดจองพื้นที่เต็มม้ายาว นี่ถ้าไม่มีภาษาไทยกำกับ สำหรับเที่ยวบิน และจุดจอด อยากจะนึกในใจเล่น ๆ ว่าถึงอินเดียแล้ว



เช็คอิน กับสายการบินนี่แหล่ะ ถูกดี...


สายการบินที่จองไว้เป็นสายการบินราคาถูก 99 เปอร์เซ็นต์เป็นคนอินเดีย เดินทางมาหาญาติที่ไทย มองซ้ายทีขวาที ไม่มีวี่แววว่าจะเจอคนไทย ไปทัวร์แสวงบุญ​ คิดในใจ “เอาว่ะ สร้างภูมิคุ้มกันให้นาสิกประสาท ก่อนถึงกรุงเดลลี”​ ว่าแล้วก็ล้วงกระเป๋า ดึงผ้าพันคอวิเศษ พันรอบจมูกสักสองรอบ ตามด้วยพ็อคเก็ตบุ๊ค นั่งอ่านใต้ไฟสลัว ๆ เทียวดีเทียวร้าย ใช้พัดวี ไล่กลิ่นเป็นระยะได้ พยายามหาอะไรทำ นั่งขีดเขียนวาดภาพเล่นเป็นระยะ ไม่เช่นนั้นคงเผลอหลับ ตกเครื่องเอาได้

ต้องขอบคุณกลิ่นเท้าแขกกลุ่มนั้น ไม่เช่นนั้นคงจะผล็อยหลับ ได้เวลาขึ้นเครื่อง จัดการหาที่นั่ง ผ้าพันคอยังอยู่โดยรอบจมูก คลุมหน้า ตั้งใจหลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ที่นั่งจองไว้ขอไม่ติดกับหน้าต่าง อาจเดินออกมายาก และคงไม่มีโอกาสเห็นอะไร ข้างนอกมืดตึ๊ดตื๋อ 



เกทรอขึ้นเครื่อง กับกลุ่มแขก บินไฟล์ทเดียวกัน 


พอถึงสนามบิน ไม่สเมลล์เวลคั่มอย่างที่คิดไว้ ข้างในอาคารสวยงาม ดูมีระเบียบ ไม่สกปรก มีการตกแต่ง ประดับประดาภายในอย่างดี มีปฏิมากรรมรูปมือ ตรงจุดตรวจคนเข้าเมืองด้วย เห็นเพื่อนฝรั่งบางคนเอารูปมาอวด มีรูปหล่อเกี่ยวกับโยคะ แต่เราไม่ยักกะเห็น สงสัยคงจะขาเข้าคนละฝั่งจากทางยุโรป ใช้เวลาทำความคุ้นเคยอยู่ข้างใน เดี๋ยวขาออกนอกประเทศต้องใช้บริการอีกที พูดแล้วก็อดใจไม่ไหว อีกตั้งหนึ่งเดือนกว่จะได้บินออกจากอินเดีย พอเริ่มคิดก็เริ่มวิตกจริต จะมีชีวิตรอดพ้นวิกฤติขี้แตก แขกเครื่องเทศ ไหมหนอ คิดไปพลาง มองหาช่องตรวจลงตรา สำหรับผู้ถือพาสปอร์ตต่างประเทศไทย มี แล้วคนชาติอื่น ไม่มีใช้บริการบ้างหรือไง พยายาม มองหาฝรั่งหัวทอง เห็นแต่โพกผ้า ไว้เคราเข้มกันเชียว ทีนี่จะถามใครดีหล่ะ มองหาใครก็ไม่มีให้ถาม



ถึงแล้ว เดลลี แอร์พอร์ต ...​ปฏิมากรรมกับการตกแต่งภายใน 


ส่ายสายตามองหาเจ้าหน้าที่ สงสัยคงจะยังเช้าตรู่กันอยู่ ยืนต่อคิว สุ่มไปก่อนก็แล้วกัน ไม่รีบ เผื่อโดนไล่ต่อแถวอื่น ค่อยว่ากัน พอไปถึงหน้าเคาเตอร์ ยิ้มสยม อุ้ย...สยามซิครับ โปรยสวาทจนปากจะฉีกถึงรูหู “เอาน๊า จะไล่ไปต่อแถวอื่นก็รีบไล่”​ คิดในใจ ปากยังอ้าค้าง ยิ้มแฉ่ง อีตาแขกไม่ใยดี พลิกหน้าพาสปอร์ต เอียงซ้ายทีขวาที ดูตั๋วเครื่องบินที่จองไว้ กับสแตมป์ผ่านแดนมาจากไทยแลนด์​

ฉันมัวแต่จ้องเคราดกดำ เผลอคิดลึกไปไกลถึงใต้สะดือ บรื๋ออออ คงจะเงางามยาวเฟื้อยแน่นอน เหย๋ย รู้นะว่าคิดไร...​ขนขาจ๊า คงจะยาวเป็นอุรังอุตังจริงเชียว ดึงจิตกลับมาอยู่ที่พาสปอร์ต
ฉัน “หา?​ พูดอะไรนะ ไม่ค่อยได้ยิน”​ พูดไปก็ทำมือวน ๆ ที่หู เหมือนว่าตอนนี้ หูกำลังอื้อ เพราะเพิ่งลงจากเครื่อง แต่ที่ไหนได้ มัวแต่จ้องเคราอีตาแขก
อีตาแขก “มาทำอะไร?”​
ฉัน “มาฝึกคอร์สครูโยคะ”​
อีตาแขกยังพลิกหน้าพาสปอร์ตซ้ายทีขวาที “แล้วตั๋วที่จองไว้ทำไมไปที่อังกฤษ”​
ฉันคิดในใจ แหม...ยุ่งไม่เข้าเรื่องนะอีตาแขก คิดจะโกนหนวดบ้างไหม ช่างเบนความสนใจเสียจริง ๆ แต่ปากก็ตอบไป “ออ...ไปทรานซิท ยิงยาวไปเมกาจ๊า”​
เท่านั้นแหล่ะ สั้น ๆ อีตาแขกสั่งให้ถอยห่างออกไปหน่อย มองไปที่กล้อง แช๊ะ...​แล้ว สแตมป์ลงตราเข้าเมืองผ่านมาได้ แต่กว่าจะหลุดออกมาได้ หัวใจจะวาย จะเจอแขกเครายาวอีกไหมเนี้ย ขี้เกียจจะใช้จินตนาการ

ไปดักกระเป๋าโหลดสัมภาระ ขณะยืนรอ เอาหล่ะครับ กลิ่นฟุ้งมาอีกเป็นระยะ วิถีกระจายเข้ามาใกล้ทุกฝีก้าว ภาวนาในใจ ให้อีสายพานหมุนเร็วหน่อย ยิ่งเพลียนอนน้อย บอกเลย “จะเป็นลม”​ ไม่ซิ ฉันต้องอดทน ทันใดนั้น เหมือนสวรรค์ทรงโปรด เข้าใจแรงอธิษฐาน กระเป๋าฉันมาแล้ว โยกตัวกระชากกระเป๋า โยนขึ้นรถเข็น ไถลออกไป ประหนึ่งกำลังถ่ายหนังฟาสต์​ 7 มีโทนี่ จา เป็นโคชอยู่ข้างหลัง มองหาร้านกาแฟ ได้มุมสงบ



กาแฟ ดับง่วง ก่อนออกจากแอร์พอร์ต 


สวรรค์มาโปรด จัดอเมริกาโน่มาแก้วใหญ่ จ่ายเงินรับใบเสร็จ บาริสต้าหนุ่มน้อย ผายมือให้ไปนั่งรอ เดี๋ยวไม่นานจะเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ ฉันหย่อนก้น เอนหลังพิงโซฟานุ่มนิ่ม ถอนหายใจไปพักใหญ่ ไม่นานเกินรอ อื้อหือ...​แม่เจ้า ทำไมไม่บอกเจ๊เนี้ย คนเสิร์ฟครบเครื่องชายแขก ทั้งเคราเฟื้อย ผ้าโพกหัว กลิ่นตีนเน่า แถมกลิ่นเต่ามานิด ๆ


หมดกัน อเมริกาโน่ แก้วใหญ่ของฉ้านนนน




สามเกลอ
98584- U.S.A. 

Monday, June 15, 2015

<รีวิว> สัมภาษณ์กรีนการ์ด

เรื่อง: <รีวิว> สัมภาษณ์กรีนการ์ด


จากที่เคยอ้างอิงไว้ กลับมารีวิวกันให้ฟังเป็นอุทาหรณ์​ เอ้ย...เป็นวิทยาธร เอ้ย...เป็นวิทยาทานครับ สำหรับการสัมภาษณ์ถือครองบัตรพำนักถาวร (กรีนการ์ด) สำหรับคู่สมรสของพลเมืองอเมริกัน ถ้าจะให้กล่าวย้อนกลับไปจริง ๆ ก็ต้องย้อนไปถึงขั้นตอนของการเริ่มขอวีซ่า อั่นแน่... ขออนุญาตไปค้นในโพสต์ของพันทิพ นะครับ ผมโพสต์ไว้มีระบุไทม์ไลน์กันชัดเจน จนได้ทำความรู้จักกับคนในสังคมออนไลน์​ ได้พี่สาวและน้องสาว อย่างละหนึ่งคน ตลกตรงที่ว่าน้องกะเทยสาว ไม่เคยเจอกันเลย คิดดูสหรัฐอเมริกา กว้างใหญ่ไพศาลมาก น้องคนนี้ชื่อเบล อยู่รัฐวอชิงตันเหมือนกัน 


น้องเบล กับสามีของนาง 


แต่ไม่เคยเจอหน้าคร่าตากันเลย เดี๋ยวได้เวลาประจวบเหมาะ ขอป๊ะ ปาร์ตี้กับนางสักคืน ดูเหมือนว่านางจะชอบออกเที่ยวกลางคืน สังสรรค์กับกลุ่มกะเทยสาวในเมืองซีแอทเติล เสียเหลือเกิน (อ้างอิงจากเฟซบุ๊ค) ฮ่า ๆ ส่วนพี่สาวที่น่ารัก ชื่อพี่นิท นางนี้ต้องลงหลักปักฐานที่รัฐฟลอริดา ดีหน่อยเคยเจอตัวเป็น ๆ ป๊ะนาง กับปาร์ตี้ปิ้งย่างที่บ้านปทุมธานี วาระนั้น ไปขอความรู้และคำแนะนำดี ๆ สำหรับเพิ่มความมั่นใจสำหรับการเตรียมสัมภาษณ์วีซ่า


พี่นิท กับสามี 



จริงอย่างที่หลายคนเคยโพสต์ไว้บนเว็บพันทิพครับ ถ้าผ่านการสัมภาษณ์วีซ่าไปได้ ทุกอย่างก็ง่ายไปเสียหมด แต่ทำไม๊ทำไม เฮ้อ...หวังว่าทางการจะไม่ไล่ออกนอกประเทศเสียก่อน ตายห่าแหล่ะ...ถ้ามีหวังต้องออกประเทศเพราะการดำเนินเรื่องตกหล่น จะเอาหน้าไปไว้ไหน คิดแล้วก็อดทนรอให้ถึงวันจันทร์หน้าไม่ไหว ต้องส่งหนังสือออนไลน์ทวงถามหน่อยหล่ะ นานเกิ๊น กะอีแค่การขอเอกสารเพิ่มเติมสำหรับกรีนการ์ด ที่จริงไม่ใช่คนใจร้อนนะครับ แต่อยากให้อยู่ในช่วงจังหวะเวลาที่พอเหมาะพอควร ไม่อยากให้เกินหนึ่งปีหลังจากตั้งหลักปักฐาน ดำเนินชีวิตในดินแดนแห่งเสรีภาพ

หลังจากได้จดหมายนัดวันสัมภาษณ์​ ออ... เหมือนว่าสหรัฐอเมริกา จะมีระบบการติดต่อสื่อสาร ที่ทันสมัย อย่าคิดกันไปยกใหญ่นะครับ ว่าทุกอย่างต้องไฮเทค ยังไง๊ยังไง การส่งจดหมายที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ก็ยังใช้การติดต่อผ่านไปรษณีย์อยู่นั่นเอง จะว่าไปบ้านก็ไม่ได้อยู่นอกเมืองมากเกินไป แต่สัญญาณโทรศัพท์มือถือมีแค่ขีดเดียว ในบางจุด อย่างในบ้าน ไม่มีสัญญาณครับ จึงเป็นที่มาของฉายาที่ให้กับบ้านหลังนี้ คือเป็นสถานกรรมฐาน ตัดขาดจากโรคสัญญาณมือถือ


จดหมายมาก่อนล่วงหน้าสองเดือนเห็นจะได้ หลังจากได้จดหมายก็เตรียมตัว เตรียมเอกสารมากมาย เข้าอินเตอร์เน็ต ปริ้นท์หน้าเอกสารออกมา จัดเรียง หาข้อมูลต่าง ๆ ที่จริงหาไว้บ้างแล้วบางส่วน เอาจัดเข้าแฟ้มเตรียมรอไว้นานมากพอสมควร คือทิ้งช่วงไว้นาน ไม่ได้เร่งรีบ ดำเนินการแบบหัวชนท้าย แต่ค่อย ๆ เดินเรื่องไป พร้อมกับการส่งเอกสารทีละขั้น ไม่ใช่ถ่วงเวลาอะไรหรอกนะครับ แต่เป็นสไตล์แบบศิลปินกันทั้งบ้าน ทุกกิจกรรมจะต้องมีธีม มีวาระกำหนด มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า
เดี๋ยวมารีวิวการเตรียมเอกสาร ให้ฟังกันอีกที อันแน่... ให้สัญญากันไว้อีกแล้ว (อย่าลืมทวงกันนะ ช่วงหลังยิ่งขี้ลืมง่ายอยู่ด้วย)

ก่อนวันสัมภาษณ์ใช้เวลาเตรียมเอกสาร ออกไปปริ้นท์หน้ากระดาษฟรีที่ห้องสมุด เข้าเล่มสำเนา ชุดเอกสารที่ใช้ประกอบการสัมภาษณ์ อ่านข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์​ visajourney ถ้าใครสนใจเพิ่มเติม อ่านศึกษาจากเว็บนี้ได้นะครับ แนะนำ ๆ เพราะให้ข้อมูล มีตัวอย่าง และการกรอกเอกสาร เนื้อหาแน่น มาอยู่เมกา ลืมพันทิพเว็บกระทู้ เมื่อตอนอยู่ไทย ติดมาก ต้องเข้าทุกวัน พอมาอยู่นี่ ปรับใหม่ ถ้าเรื่องการดำเนินการด้านพลเมืองต้องยกนิ้วให้เขาหล่ะ ตัวพ่อจริงไรจริง

เรื่องที่สำคัญก่อนสัมภาษณ์ต้องดำเนินการให้หมดจดคือการจดหุ้นส่วนชีวิต ไอ้เรื่องการแต่งงาน อย่างถูกต้องตามกฎหมายนั้น ในใบสมรสระบุชัดเจนอยู่แล้ว ได้รับการรับรองถูกต้อง มีสิทธิ์มีเสียงเทียบเท่าเสมอกัน แต่เรื่องของการถือครองทรัพย์สิน ในใจแอบคิดอยู่ลึก ๆ ว่าแหม...​ก็สามารถเป็นคนซื้อบ้านและที่ดินไว้ อาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนแต่อย่าง เคยคุยกันมาก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะว่าเรื่องของภาษีที่ดินที่ต้องชำระประจำปี จะต้องเพิ่มสูงขึ้น เมื่อมีการถือครองร่วมกับคู่สมรส ก่อนหน้าจะไปเดินเรื่อง (เดี๋ยวมารีวิวให้ฟังอีกเช่นกัน) ไปเที่ยวกับเฉิบ สบายอุรา ได้ตัวเรา ไม่ชอบการดราม่าอยู่แล้ว ข้อมูลที่ปริ้นท์ออกมาก็ระบุกันชัดเจนว่า “น่าจะ”​ ไม่ใช่ว่าต้องดำเนินการนะครับ เพราะมันมีเรื่องของกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ในกรณีที่อยู่ ๆ มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น

พอหลังจากเดินทางกลับมาจากท่องเที่ยว ฝ่ายสามี จิตใจเบิกบาน และเห็นแล้วว่าเราไม่ย้ำนักย้ำหนา คงไม่คิดว่าเราจะฮุบสมบัติกระมัง วันรุ่งขึ้นนางบอก ไปดำเนินแจ้งประสงค์ถือครองเอกสารสิทธิ์บ้านและที่ดินร่วม ให้สองชื่อปรากฎบนหนังสือสำคัญ นอกจากนั้น ยังเพิ่มชื่อเข้าไปในบัญชีเจ้าของรถอีกด้วย สองสิ่งทำในสำนักงานอาคารเดียวกัน แต่คนละฝั่งของตึก

กลับมาที่การรีวิวการสัมภาษณ์กรีนการ์ดครับ วางแผนออกเดินทางจากบ้าน ฉันเป็นคนขับรถให้ เพราะอ้างว่าเคยมาแล้วหนึ่งครั้งตอนมาปั๊มลายนิ้วมือ ลงรหัสบ่งชี้เอกลักษณ์ทางพันธุกรรม มั่นใจมาก มองกูเกิลแม็ปแว่บเดียว ต้องไม่หลงทางแน่นอน

พอเอาเข้าจริง หลงทางครับ...​ดีนะ ฝ่ายสามีไม่โมโหเกรี้ยวกราด เหมือนที่เคยเป็น แต่แอบกระหยิ่มในใจ อาจจะสมน้ำหน้าเราลึก ๆ ก็เป็นได้ ขับรถวนอยู่บนเส้นทางที่ปริ้นท์เอกสารออกมา อยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง นานมาก ๆ ดีนะเผื่อเวลาไว้เยอะ ขับรถออกจากบ้านถึงโซนสนามบินในซีแอทเติล ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่า ๆ สุดท้าย ต้องจอดแวะให้สามีลงไปถามทาง อารมณ์นั้นปวดฉี่มาก ไม่ไหวแล้ว ยืนแม่งข้างทาง เก็บดอกไม้สบายใจจริง ดีที่อากาศไม่หนาวไม่ร้อนมาก ถามทางพอรู้เรื่อง ตั้งหลักใหม่ซิครับ  

พอไปถึงอีกแยก เหมือนจะใช่ พอหักเลี้ยวซ้าย ซึ่งปรกติเวลาขับรถจะเลี้ยวซ้ายในเมกา จะต้องระมัดระวังอยู่สักหน่อย ดีนะ วันนั้นจราจรไม่หนาแน่น ...​มองไปข้างหน้าเป็นแม่น้ำ มีเขื่อนกั้นเล็ก ๆ อ่านชื่อถนน ไม่น่าจะใช่ หักหลบเข้าข้างทาง เตรียมตีรถกลับเข้าเส้นทางเดิม กระทันหัน อีตาสามีนั่งข้าง ๆ คนใจจะวาย โยกมือกุมมือจับข้างประตูแทบไม่ทัน

ละแล้วก็เจอจนได้ ถนนที่ต้องการ Tukwila สายนานาชาติ แต่เอ...​ตอนขับมาคนเดียว เมื่อครั้งก่อน ไม่เห็นจะซับซ้อนอะไรขนาดนี้ คงเป็นเพราะเที่ยวนี้ ใช้ทางออกพิศดารไปนิด ออ ใช่ครับ การขับรถบนทางฟรีเวย์เมกา ต้องอ่านป้าย หมายเลขทางออก จดจำให้แม่น ไม่เช่นนั้นชีวิตเปลี่ยนแน่แท้ ยิ่งโดนขู่ในหลาย กระทู้ ถ้าไปสายตามเวลานัด เจ้าหน้าที่จะถือว่าสละสิทธิ์ในวันนั้น เป็นการเพิกเฉยต่อหมายนัด
บรรจบถนนหลักที่ต้องการแล้ว เริ่มคุ้นสถานที่ สำนักงานด้านพลเมืองอยู่ทางด้านซ้าย เมื่อครั้งก่อนเคยเข้าจอดที่ทางการจัดไว้ให้ เสียค่าจอดไปสองร้อยกว่าบาท สามีบอก หาที่จอดสาธารณะอื่น ขับรถวนหากัน โชคดี มีที่ว่างข้างมาร์เก็ตร้าง แว่บเข้าจอด ลงรถ แล้วเดินไปสำนักงานไม่ถึงสิบนาที
พอไปถึง เปิดประตูกระจกบานใหญ่ ในใจคิดไว้ อีกไม่กี่สเต็ปจะต้องมาใช้บริการที่นี่อีก เพื่อสอบซิติเซ่น และขั้นตอนการสาบานตนเป็นพลเมืองมะกัน ถึงตอนนั้นก็คงอีกนาน เอาเป็นว่า คอยติดตามบล็อกไปเรื่อย ๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ

ไปถึงเจ้าหน้าที่สาวเบ้ปาก ยังไม่เปิดให้รับเลขคิว เพราะยังไม่ถึงเวลานัดที่ระบุในจดหมาย หันมาบอกสามี ที่จริงก็คือนางได้ยินเต็มสองรูหูแล้วหล่ะ ออ...ที่ลากคุณสามีไปด้วย เพราะว่าในจดหมายระบุไว้ชัด ถ้าดำเนินการสัมภาษณ์กรีนการ์ดผ่านการสมรสหรือในหมวดครอบครัว ต้องนำคู่สมรสมาสัมภาษณ์ด้วย
ฝ่ายนั้นทำหน้าตาไม่พอใจ เหมือนกำลังจะต่อว่า “ก็ตรูบอกแล้ว”​ เห้อไอ้ฉันก็คิดในใจ “เมิงบอกตรูตอนไหนว่ะ”​ ฮ่า ๆ ใช้กระแสจิตโต้เถียงกันเป็นภาษาอังกฤษ​ เจ้าหน้าที่สาว บอกชี้ชวนให้ไปนั่งในล็อบบี้รอได้ อีกห้องตรงข้ามมีตู้ขายเครื่องดื่มและสแน็คหยอดเหรียญ เห็นฝ่ายสามีทำหน้ายักษ์​ รู้แล้วว่าคงหิว เดินไปหยอดเหรียญเลือกขอกินมีสาระ คิดว่านางคงจะชอบ ได้สารพัดถั่วอบ ไร้สารปรุงแต่งมาหนึ่งห่อ ฟาดไปเกือบหกสิบบาท ส่วนฉันได้ของกินมีสารปรุงแต่งเจือ นิด ๆ ไม่ยี่หร่ะครับ เน้นปริมาณไว้ก่อน หยุดเพิ่มอีก กดโค้กกระป๋องแดงตบท้าย เพื่อให้สามีตำหนิเล่น ๆ ไหน ๆ ก็โดนตำหนิมาตลอดทั้งไว้แล้ว กินของขบเคี้ยวขยะให้บ่นเพิ่ม นางจะได้ไม่ไปเหวี่ยงใส่เจ้าหน้าที่ผู้สัมภาษณ์ (กลเม็ดของฉันหล่ะ)

ได้เวลาที่รีเซฟชั่นกำหนด ไปต่อคิวรับหมายเลข จากนั้นก็ขึ้นไปยังชั้นสอง ข้างบนนั้น ไม่มีวี่แววว่าจะมีทางห้องสัมภาษณ์แต่อย่างใด เหมือนเป็นผนังกั้นแน่นหนาไปเสียหมด พอได้เวลาสัมภาษณ์รอบบ่าย ถึงได้บางอ้อ ว่ามีประตูทางฝั่งซ้ายของที่นั่งรอสัมภาษณ์​

จากการสังเกตคนที่มาสัมภาษณ์ เป็นชาวเอเชียเสียส่วนใหญ่ ใบหน้าค่อนไปทางจีน ฮ่องกง ไต้หวัน เทือกนั้นครับ นั่งไปมองคู่โน้นคู่นี้ไป มีบางคู่เอาทนายมาด้วย อาจเป็นเพราะทำเรื่องเสียตังค์ผ่านสำนักทนาย น่าจะเป็นคู่สมรสเกย์เสียด้วยซิ เพราะมีแต่ชายล้วน ระหว่างนั่งรอก็แสกนมองซ้ายทีขวาที สามีก็ใช่ย่อย มาเฉลยทีหลังตอนขับรถกลับบ้าน ถามเราว่าเจอคู่สมรสเกย์กี่คู่?​

นั่งรอสักพัก เจ้าหน้าที่หนุ่ม ผมทอง คิ้วทอง ขนตายังสีทองอีกอ่ะ อย่าหาว่าคิดลึก ขนอื่น ๆ ใต้ร่มผ้าต้องสีทองอีกเป็นแน่ ฮ่า ๆ ขนรักแร้หรอก เอาน๊า ณ​ เวลานั้น ไม่มีเหลือไว้เผื่อให้คิดสัปดน หนุ่มเจ้าเรียกนามสกุลของฉัน ต่อด้วยชื่อจริงตามกฎหมาย (สหรัฐฯ)​ มีชื่อกลางแถมพ่วงมาด้วย โอโห เต็มยศขนาดนี้ ลุกด่วนเลยครับ พอถึงประตู แนะนำกับหนุ่มเจ้าให้รู้จักกับคุณสามี จากนั้นหนุ่มเจ้าก็เชื้อเชิญเข้าห้อง
การสัมภาษณ์ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่วิตกไว้ ถ้าจะบอกว่า ดูเหมือนคุยกันทั่วไป มียิ้มแย้ม มีหัวเราะ บรรยากาศสบาย ๆ ครับ แต่เขาคงถูกฝึกมาอย่างนั้น เพราะอาจจะดึงความเป็นธรรมชาติออกมาจากฝ่ายสามีได้ สิ่งที่เขาต้องการจะจับหาคือพิรุธ เพราะเท่าที่หาข้อมูลมา มีหลายกรณีที่ล้มเหลว เพราะผู้สมัครกรีนการ์ดทำการสมรส จ้างวานชาวเมกันแต่งงานแบบปลอม ๆ แต่ด้วยคู่ของเรา ความจริงล้วน ทะเลาะกันจริง ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเกือบทศวรรษจริง ไม่ใช่แสตนด์อิน ไม่ใช้ตัวประกอบครับ
เจ้าหน้าที่หนุ่มออกคำสั่ง ให้ฝ่ายสามีมะกัน นั่งติดหน้าต่าง แต่ก่อนจะนั่งให้ยกมือขวาทั้งสองคน สาบานตนว่าจะพูดแต่ความจริงต่อหน้าธงชาติสหรัฐฯ​ ด้วย โอ้โห ช่างขลังอะไรขนาดนั้น จากนั้นก็มีการสัมภาษณ์ พอหย่อนก้นลงนั่งก็ขอตรวจใบขับขี่ของทั้งคู่

เจอกันยังไง มีเอกสารอื่นจะนำเสนอไหม เอกสารเพิ่มเติมมีสำเนาให้ทางเราเก็บเป็นหลักฐานหรือไม่ ฝ่ายคุณสามีเคยเจอครอบครัวฉันกี่ครั้ง บรรยากาศและการยอมรับเป็นอย่างไร เพราะคู่ของเราเป็นคู่สมรสเพศเดียวกัน เจ้าหน้าที่หนุ่มคงอยากรู้ว่าได้รับการยอมรับจากทางบ้านหรือปล่าว ฉันกับคุณสามีตอบได้ฉะฉานอย่างมั่นใจ ไม่มีการอ้ำอึ้ง

เสร็จการสัมภาษณ์ เจ้าหน้าที่หนุ่ม ยื่นเอกสารมาหนึ่งหน้ากระดาษ ใจคอเริ่มไม่ดี แต่หนุ่มเจ้าก็เกริ่นไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า ตอนที่ทำเรื่องตรวจร่างกายจากไทยมา เว้นช่วงไว้นาน จนถึง ณ วันสัมภาษณ์​ เอกสารตัวหมดอายุไปแล้ว ต้องดำเนินการตามที่เอกสารระบุไว้ ในหน้ากระดาษ ทำเครื่องหมายกากบาทให้ไปตรวจร่างกาย ตามที่เคยเขียนไว้ในบล็อกก่อนหน้านี้

จากนั้นก็ออกมาส่งเราทั้งสอง ถึงหน้าประตู แล้วกล่าวลา ใช้เวลาไม่นานครับ จะบอกว่าอาบน้ำแต่งตัว ใส่สูทผูกเนคไท ยังนานกว่าอีก อุตส่าห์วิตกกังวล คืนก่อนหน้า นอนแทบไม่หลับดี ฝ่ายคุณสามีก็กระตือรือร้นไม่แพ้กัน ทำการบ้านซ้อมตอบคำถาม ตามที่ฉันหาข้อมูลมา เตรียมตัวกันยังกะลักลอบแต่งงานผิดกฎหมาย แต่สุดท้าย ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

อีกไม่กี่วันหลังจากนั้น ไปตรวจร่างกาย เสียตังค์เพิ่มอีก หมื่นกว่า ๆ ครับ อยากจะร้องไห้
จนถึง วันนี้เข้าไปเช็คสถานภาพด้านพลเมือง ระบุได้รับเอกสารแล้ว แต่กรีนการ์ดยังไม่กระเตื้อง วันจันทร์จะลองส่งจดหมายไปจี้ดูอีกที ให้กำลังใจ ตามอ่านกันนะครับ
ดึกแล้วทางฝั่งนี้ ....​ราตรีสวัสดิ์​



สามเกลอ
98584- U.S.A. 


Friday, June 12, 2015

วัณโรค กับ บรรณโลก



เรื่อง: วัณโรค กับ บรรณโลก 





นึกย้อนกลับไปตอนนี้ก็เป็นเวลามากโข หลังจากห่างหายจากวัณโรค...อุ้ย บรรณโลก! อูย...น้อ ไม่ได้ใช้ภาษาไทยนาน อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย พูดแล้วจะหาว่าดัดจริต ใช้ภาษาไม่ค่อยถนัดปาก
เกริ่นเมื่อต้นหน้า คนอ่านงงกันว่าอีนี่ จะเล่าอะไร พล่ามน้ำลายท่วมทุ่ง มา...ซะเป็นโรคร้าย กันเลยเชียว  มาฟังเรื่องสาธยายชีวิตแสนรันทด  ใช้ชีวิตต่างแดน ตัวคนเดียว หัวฟีบกระเทียมฝ่อ ขอเล่าเรื่องการตรวจหาวัณโรคแล้วกัน ภาษาอังกฤษวันละคำ วันนี้ ขอนำเสนอคำว่า TB อ่านว่า “ทีบี”​ ชื่อเต็ม ๆ ของมันคือ Tuberculosis



ซองเอกสาร ผลตรวจร่างกายจากคลินิค สมบูรณ์ทุกประการ ไร้โรคภัยร้ายแรง




อย่าถามรายละเอียดว่าเกิดจากเชื้อไวรัส หรือแบคเตรี ชนิดไหน สายพันธุ์​ใด ฉันไม่ได้เรียนหมอมา เข้าใจ๊! เอาหล่ะ ทำไมสำคัญนักสำคัญหนา ก็เนื่องจากว่าเมื่อเดือนที่ผ่านมาไปสัมภาษณ์​ กรีนการ์ด (Initial Interview for Permanent Residence Application) สำหรับผู้พำนักถาวรในเมกา การสัมภาษณ์เป็นอย่างไร เดี๋ยวมารีวิวให้ฟัง เป็นความรู้ (ทำหน้าตาซีเรียส)​
แหม...​โหมดมีสาระ ก็เป็นเหมือนกันนะ


อาคารสัมภาษณ์กรีนการ์ด สำนักงานด้านพลเมือง 


แต่ขั้นตอนนี้มันข้ามขั้นมาหลายขุม สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลการเตรียมตัว จะบอกว่ากว่าจะถึงขั้นนี้ น้ำตาเล็ดเช็ดหัวเข่ากันเลยทีเดียว จำเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ  เมื่อไม่กี่ปีมานี้ กันได้ใช่ไหม? ปริมาตรน้ำเท่ากันเลย ความอดทน การรอคอยเหมือนเฝ้าให้น้ำลด ฝากความหวังกับดินฟ้าอากาศ รุกขเทวดา สถานที่ไหนศักดิ์สิทธิ์​ ตะเวนซิจ๊ะ ไหว้ประหลก ๆ มิหนำซ้ำเจ้าน้องสาว ยังมีหน้าลากไปไหว้พระวัดโน้นวัดนี้ทั่วกรุง


แพ็คกระเป๋า ก่อนเดินทางครั้งสำคัญ​ ออกจากประเทศไทย


รู้แต่เพียงว่า เจ้าวัณโรคนี้ มันจะจู่โจมเข้าทำร้ายปอด เนื้อเยื่อบาง ๆ กรองอากาศ ของคนเรา  บอกได้คำเดียวว่า “เสียว”​ ระเบียบการที่นี่เคร่งครัดมาก ทางการ (เมกา) ระบุให้เจ้าโรคนี้เป็นโรคติดต่อร้ายแรง คิดว่าน่าจะมีทางรักษานะ ต้องหาข้อมูลกันอีกที นอกจากนั้นยังมีโรคติดต่อทางเพศด้วย
อันนี้ยังไม่เคยเล่าให้ฟัง แต่เดี๋ยวบล็อกต่อ ๆ ไปจะนำเสนอ จากชื่อบล็อกก็บอกอยู่แล้วว่า ไกลŸแดน เรื่องราวชีวิตบทใหม่ ได้เริ่มขึ้น หลังจากก้าวเท้าออกจากประเทศไทย บินลัดฟ้า ลงจอดที่อินเดีย บอกก่อนว่าไม่ใช่ทริปแรกของการเยือนเมืองภารตะ


ทริปเยือนอินเดียครั้งแรก ปี 2013


แต่การลงจอดที่อินเดียครั้งนี้ คือการก้าวออกไปไกลแดนอย่างเป็นทางการ ไปอยู่อินเดีย เรียนคอร์สครูโยคะหนึ่งเดือน จากนั้นก็บินต่อ เน็กซ์สเตชั่น อเมริกา ไม่วกกลับไปตั้งหลักที่ไทย นี่เองคือที่มา
ไม่ได้ติดใจกล้วยแขกอะไรหรอกนะ ไม่รู้ทำไม ตอนโพสต์รูปตั๋วเดินทาง จองไว้ไปอินเดีย พวกชะนีเพื่อนสาวเรียกร้อง “อย่าลืม เอากล้วยแขกมาฝากนะ”​ ย่ะ นังหอยหลอด คงอยากลองของแปลก ที่ไปเพราะมีแก่นสารหรอกย่ะ ฉันไปประชุมโยคะโลก ที่รัฐพิหาร เป็นช่วงเดือนวันเกิดพอดี เลยแวะไปนั่งสมาธิใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์​ เมืองพุทธคยา ก่อนจับรถไฟวิปโยค อันนี้ก็อีกเรื่องอยากจะเล่าสู่กันฟัง (อย่าลืมทวง)


ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์​ เมืองพุทธคยา สถานที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ 


แต่ละที่ที่ไปต้องเข้าไปปะปนกับฝูงชน ดีนะติดผ้าพันคอไปด้วย ถ้าเป็นสำนวนฝรั่งก็เปรียบเสมือนมีดพกประจำกาย (Swiss Knife) นะแจ๊ะ เอาผืนบางหน่อยแต่เน้นหน้ากว้าง จะหนาวก็หยิบมาห่มให้มิดคอเข้าไว้ จะร้อนก็กางออกมาบังแดด ไม่เว้นแม้แต่ปะปนหมู่มหาชน เอามาพันหน้าคลุมจมูกเลยจ้า อย่าได้แคร์​ ไม่มีใครรู้จักเรา เพราะเราเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ได้หนักหัวกะบาลใคร ถ้าติดอีวัณโรคขึ้นมา เป็นของฝากหล่ะก็ อันนี้ก็ตัวใครตัวมันเน้อ


ชาวอินเดียรอรถไฟ เล่นนอนกันเลี่ยราดขนาดนี้ บอกเลย...อินเครดิเบิลสุด ๆ  


ย้อนกลับไป (หยุดคิดแป็บ) จำไม่ได้ว่าช่วงไหน รู้แต่ว่าไปตรวจเอ็กซเรย์ปอดที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เชียงใหม่นี่แหล่ะ ก่อนทำเรื่องขอวีซ่าถาวร ต้องตรวจร่างกายขนานใหญ่ ยังกะตั้งศูนย์ถ่วง ยกเครื่องใหม่ ฉีดวัคซีนกันหลายเข็ม ต้นแขนบวมขับรถกลับบ้าน


ฉีดวัคซีนที่สถานเสาวภา ตามเอกสารจำนวนเข็มที่ทางการระบุ


รู้นะว่าทุกคนก็เป็นกัน เวลาที่ไปตรวจโรคแล้วต้องใช้เวลาในการรอนาน ๆ จะลุ้นในใจ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีทีท่าว่าจะเป็นโรคนั้นมาก่อน พอลุ้นไปก็แอบไอกระแห่มในคอ อุปมาไปว่าตัวเองต้องเป็นวัณโรคแน่ ๆ นี่แหล่ะนา เขาเรียกพลังจิต ที่เมกา การตรวจร่างกาย สามารถทำได้ที่คลินิกทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานด้านพลเมือง วันสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ ยื่นกระดาษพร้อมรายละเอียดให้ไปดำเนินการ
ฉายเดี่ยวซิจ๊ะ สามีไม่ว่าง วันนั้นเข้างานด้วย ที่ทำงานต้องขับรถเกือบ 46  ไมล์​ แปลงเป็นไทยก็ร่วม ๆ 70 กิโลเมตร ไกล ไม่อยากจะลากแฟนไปด้วย เป็นเรื่องที่จัดการเองได้ ขอหัวหน้าแว่บไปตรวจร่างกายก่อนกลับบ้าน คิวไม่ยาว ไม่มีการซักประวัติ ก่อนหน้าไม่กี่วัน โทรไปนัด
พยาบาลฝ่ายระเบียน “สวัสดีตอนบ่ายค๊า ดิฉันลิซ่า (ชื่อสมมติ)​ รับสาย มีอะไรให้รับใช้ค่ะ”​
โยคี เมียมะกัน “สวัสดีตอนบ่ายจ้า ฉันจะนัดหมอ ตรวจร่างกาย ทำฟอร์ม I-693”​
ลิซ่า “ค่ะ…หกเก้าสาม (นางทวน)​ ไม่ต้องนัดค๊า เข้ามาเลย”​
โยคี เมียมะกัน “แล้วราคาเท่าไหร่”​
ลิซ่า “เริ่มต้นที่ 280 ถึง 700 ดอลล่าร์ค๊า”​
โยคี เมียมะกัน​ “ว้าย... (พร้อมทำทีตกใจ) ค่าอะไรบ้าง?​ แล้วถ้าฉีดวัคซีนมาครบแล้ว บลาร์ ๆ ต้องเสียเท่าไหร่”​ ปลายสายให้ข้อมูลมา ฉันก็ฟัง ๆ ทำหน้างึกงัก รับทราบ  “งั้น พรุ่งนี้ ตอนบ่ายสองครึ่งเข้าไปพบแพทย์นะจ๊ะ”​
ลิซ่า “อีกครั้งนะค๊า ที่นี่ไม่ต้องจองคิว เข้ามาได้เลยค๊า”​
โยคี เมียมะกัน “เออ ลืม ขอโทษด้วยจ้า”​ วางสาย คิดด่าในใจ “อีดอก”​
พอไปถึงที่คลินิก จอดรถด้านหน้า เป็นคลินิกเล็ก ๆ อยู่ห่างจากตัวดาวน์ทาวน์​ แต่ติดถนนหลัก เดินทางง่าย มาตามกูเกิ้ลแมปได้สบาย ลงจากรถ เปิดประตูเข้าไป เจอพยาบาลสองคน นั่งเคาเตอร์เวชระเบียน ฉันแอบปล่อยไก่ บอกว่าโทรมานัดไว้ตอนบ่ายสองครึ่ง เหล่านางบาลทำหน้าแหนง ๆ เหมือนเจอมาหลายเคส ขอชื่อจริง นามสกุลจริง เบอร์โทร ขอตรวจใบขับขี่ด้วย เรียกเอกสารรับรองวัคซีนที่ฉีดมาจากไทย จากนั้นผายมือให้ไปนั่งรอที่โซนรับแขก ใช้เวลาไม่นาน นางพยาบาลเรียกอีกที เตรียมเอกสารให้กรอก และเซ็นต์ชื่อ จากนั้นก็จ่ายตังค์​ นั่งรอตรงหน้าเคาเตอร์นั่นเลย ไม่นานนัก พยาบาลอีกคน
รายนี้ผิวคล้ำหน่อย ตัดผมสั้น หน้าตาคมเล็ก ค่อน ๆ ไปทางรีฮันน่า ฉายาอีห่าน นักร้องสาวผิวสี นางคล่องแคล่วมาก เปิดห้องตรวจเข้ามา พร้อมเข็มสองกระบอก เริ่มใจคอไม่ดีแล้ว อันนี้เป็นครั้งแรกของการฉีดยาที่เมกา ได้ยินมาหลายหู ว่าการแพทย์ที่นี่ไม่ค่อยเบามือ พอเอาเข้าจริง “ว้าว มันวิเศษมาก”​ หลุดปากอุทานด้วยความทึ่ง นางแทงเข็มเข้าฉึก แล้วดึงออก  แอบตกใจเล็กน้อย ช่างรวดเร็วไรปานนี้ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เข็มถัดไปฉีดที่ท้องแขน เข็มนี้ที่ว่าสำคัญ​ หลังจากฉีดเสร็จ นางทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที กำชับห้ามขูด แคะ แกะ เกา เป็นอันขาด หยิบปากกา เบี่ยงตัวกรอกข้อมูลลงเอกสาร ระบุวัน เวลา ปริมาตรที่ฉีด หมายเลขล็อต แขนข้างที่ฉีด เห็นนางอ่านทวนสองรอบ ฉันใจคอไม่ดี เริ่มหวั่น ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
กรอกข้อมูลเสร็จนางกัดฟัน ทำหน้าขรึม ย้ำห้ามขูด แคะ แกะ เกา เป็นอันขาด  อีก 2 วัน เข้ามาที่คลินิก เพื่ออ่านผลอีกที ตัวยาที่ฉีดไปเขาเรียก “Tuberculin Skin Test” ย่อ ๆ ว่า TST ตรวจหาเชื้อวัณโรคโดยไม่ต้องฉายแสงเอกซเรย์ปอด นางยื่นเอกสารให้ ในนั้นระบุชัดเจน ห้ามมาก่อน หรือหลังจากเวลานี้ๆ
ฉันพะยักหน้าตอบไปด้วยเสียงสั่นเครือ “โอเค งั้นก่อนเข้ามา จะโทรมานัดคุณหมออีกที”​
นางพยาบาลขบฟันหนักกว่าเดิม จินตนาการชะนีผิวดำ พับหน้าเหมือนตอนคลอดลูก คำรามเสียงขรม

“ไม่ต้องนัด เข้ามาได้เลย”​


สามเกลอ 
98584 - U.S.A.