Friday, January 15, 2016

ใบขับขี่ พี่ได้แต่ใดมา???



ลืมเกริ่นไปว่า สิ่งหนึ่งสำคัญกว่าอื่นใด หากยังไม่ได้ หมายเลขประกันสังคม คุณก็หมดสิทธิ์ในการขอรับบริการจากหน่วยงาน ทุกกรมกอง รวมทั้งภาคเอกชน เวลาจะสมัครงานครับ ตามเคยขอเก็บไว้มารีวิวให้ฟังอีกที สำหรับขั้นตอนการขอรับเลขหมายประกันสังคม (อย่าลืมทวง)


ใบขับขี่ระหว่างประเทศ ทำก่อนเดินทางมา ใช้ซะคุ้มค่าเลย 



แต่ขอโปรยหัวไว้ก่อนว่าหมายเลขประกันสังคมของที่นี่ มีทั้งหมด ๙ หลัก พลเมืองชาวเมกันทุกคนต้องมี และห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้เป็นอันขาด ด้วยความชาญฉลาดของคนไทยซะอย่าง ขอจดไว้หลังบัตรใบขับขี่เป็นเลขไทย ก็แล้วกัน ๑๒๓๔ ไม่มีฝรั่งคนไหนอ่านออกหรอกนะ


ได้มาแล้ว หลังจากสอบผ่านทุกขั้นตอน ดูเหมือนกระดาษ​แต่ใช้ได้จริง มีวันหมดอายุกำหนด ก่อนบัตรจริงจะส่งตรงถึงตู้จดหมายหน้าบ้าน 



ก่อนหน้าการสมัครสอบใบขับขี่ ใจกล้า ขับรถไปแวะที่สำนักงานขอใบอนุญาตเอง ก็คุณสามีเมื่อครั้งก่อนหน้า อาสาพาไป แต่เป็นสำนักงานที่รับต่อภาษี รับซื้อ ขาย เปลื่ยนมือ ขอป้ายทะเบียน ทำนองนั้น เพราะด้วยความรีบร้อย อยากได้ใบขับขี่มาก แต่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลดี รู้แต่ว่าอยู่ใกล้ซุปเปอร์มาร์เก็ตชื่อเฟร็ดมายเยอร์​ และเปิดบริการดึก รบกวนให้คุณสามีขับให้ ในใจคิดแล้ว ตะหงิด ๆ ว่าจะมีอะไรพลาดไปหรือปล่าว ต่อแถวรอคิวอย่างดี จนได้ใช้บริการ แหย่หลังคุณสามีถามนางให้หน่อย ปรากฏว่าสำนักงานนี้ “ไม่รับทำใบขับขี่ค่ะ”​ หงายเงิบไปหนึ่งดอก เจอดอกสองจากคุณสามี กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่เสร็จ สิ่งหนึ่งที่ผู้ให้บริการในเมกา เวลาที่ทำให้ผู้ซื้อ หรือผู้ขอใช้บริการ ผิดหวัง จะกล่าว “ขอโทษ”​ ด้วยตลอด ไม่ว่าจะเป็นความผิดของฝ่ายลูกค้าเอง ในกรณีนี้ ฉันเป็นฝ่ายผิดเข้าอย่างจัง หนึ่งไม่ได้หาข้อมูลให้แน่น สองจวนเวลาอาหารมื้อค่ำ ทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมประกอบอาหารดี และสาม ทุกทีไม่เห็นรีบร้อนจะดำเนินเรื่องอะไร แต่ทำไมกรณีใบขับขี่ อยากมีเร็วจัง

หลังจากทดสอบภาคถนน ดีใจมาก เพราะพลาดแค่ป้าย "หยุด"​ ไปแค่ป้ายเดียว ต้องสอบถึงสองครั้งเลยเชียว 




ก็แหม...​หมายเลขประกันสังคมใช้เวลาเกือบสองสัปดาห์ กว่าจะได้มา รอจนไม่ต้องทำมาหากินอะไร ได้มาปุ๊บก็อยากจะใช้บริการปั๊บ นั่นน่ะซิ แต่คุณสามีก็เหมือนจะคล้อยตาม ว่ามีสองออฟฟิศให้เลือก ตัวเองเป็นคนพูดเอง แล้วทีนี้ยังจะมาทำหน้างอนใส่อีก เช๊อะ พูดแล้วอยากจะเขกกระโหลกหลุน ๆ

ตัวอย่างหน้าตาบัตรโซเชียล ใบนี้สำคัญเท่าชีวิต และตัวเลขที่ระบุ จะอยู่ติดตัวประชากรอเมริกัน ทุกคนตลอดไป 




อีกไม่กี่วัน ขอฉายเดี่ยวไปอีกสำนักงานที่ตั้งอยู่บนคนละถนน ออกไปทำธุระซื้อของมาทำงานศิลปะด้วย เลยแวะไปติดต่อ เจ้าหน้าที่ขอหมายเลขคอนเฟิร์ม เมื่อคืนก่อนหน้านั่งกรอกเอกสารออนไลน์ที่บ้านไว้ก่อนแล้ว ได้หมายเลขลงทะเบียน ไปติดต่อที่สำนักงาน ก็ปริ้นท์เอกสาร พร้อมทั้งให้เราตรวจสอบความถูกต้อง รวดเร็วมาก และที่สำคัญ สำนักงานนี้ ไม่มีคิวเลยครับ ไปถึงปุ๊บ ทำทีเก้กังเล็กน้อย รอเจ้าหน้าที่เรียกแค่

แจ็ค ....​น้องหมา วัยสิบหก มานอนเฝ้าที่ห้องอ่านหนังสือชั้นสอง เพราะรู้ว่าจะเตรียมตัวสอบใบขับขี่ 




สำนักงานเป็นอาคารเดี่ยวชั้นเดียว อยู่ในโครงการของพลาซ่า เป็นย่านห้างร้านต่าง ๆ อยู่ติดกัน ด้านหลังของสำนักงานเป็นคลินิครักษาผู้ป่วย
เจ้าหน้าที่ผิวดำ เรียกไปนั่ง แล้วบอกให้รอเอกสารที่กำลังป้อนออกมาจากปริ้นเตอร์​ ข้อมูลที่ออกมา เป็นข้อมูลตามที่ฉันกรอกไปเมื่อคืน เป๊ะ...​ทั้งส่วนสูง (คะเนเอาคร่าว ๆ ใช้หน่วยวัดเป็นฟุต)​ สีตา กรอกไปว่าสีน้ำตาล ไอ้สองข้อนี้แหล่ะ ไม่มั่นใจ ถามคุณสามี ในข้อแรก น่าจะราว ๆ ๕ ฟุต กับ ๗ นิ้ว ...เออ กรอกตามนั้น แต่แอบเข้าเว็บเทียบหน่วย แล้วหล่ะ ต่อด้วยสีตา ตอนแรกกรอกเป็นสีดำ สามีแย้งนิด ๆ “จะสีดำได้ไง ฉันจ้องอยู่ มองยังไงก็สีน้ำตาล”​ แหม ๆ เล่นมาจ้องตากันใกล้ขนาดนี้ เจอกระโดดกัดหูไปหนึ่งที ดีไม่ใช่ปลากัด ไม่งั้นท้องป่องรอคลอดแล้วป่านนี้

ห้องอ่านหนังสืออีกมุม 




เชื่อคุณเธอสักหน่อย กรอกไปเป็นสีน้ำตาลครับ นั่งรอประมวลผลเอกสารสักพัก ต่อด้วยขั้นตอนของการตรวจวัดสายตา ตั้งอยู่ตรงหน้าเป็นเครื่องมือตรวจวัดสายตา สำหรับการสอบใบขับขี่โดยเฉพาะ หน้าตาเหมือนกระบอกกล้องส่องทางไกล ที่ให้บริการตามจุดท่องเที่ยว คุณดำบอกถ้าสวมแว่นตา ให้ใส่แว่นด้วย อันนี้ก็เช่นกัน รู้งี้ตอนไปทดสอบสายตา สวมคอนแทคเลนส์เสียจะดีกว่า เพราะในใบขับขี่ระบุไว้ ต้องสวมแว่นสายตาขับด้วย จะโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะเขาทำตามหน้าที่ เนื่องจากเรื่องจำพวกนี้ ทุกคนที่มีส่วน ค่อนข้างซีเรียสมาก มันเกี่ยวเนื่องกับความเป็นความตายของผู้คนสัญจรบนท้องถนน ฉันอาจแอบเคืองบ้างเล็กน้อย ณ​ จุด ๆ นั้น แต่พอหลัง ๆ เริ่มสำนึกขึ้นได้ มันจริงของเขา มันเมคเซนส์เอาเสียมาก ๆ ไม่มีอะไรจะสำคัญเท่าชีวิตนั่นเอง ให้ดูตัวอักษร ดูสัญญาณกระพริบ ไฟแดง ไฟเขียว ไฟอำพัน ถามสีที่เห็นในจอ “เสร็จขั้นตอนนี้แล้ว ยินดีด้วยครับ คุณผ่าน”​

บรรยากาศภายในอาคารโซเซียลซีเคียวริตี้ (Social Security Admistration Office) ในเมืองโอลิมเปีย 




จากนั้นคุณดำก้มจดอะไรสักอย่าง ยิก ๆ ลงบนเอกสาร แล้วยื่นให้ เป็นที่อยู่ของสถานที่สอบข้อเขียน หา???​ เกิดอาการงงเป็นไก่ตาแตก งงมาก นึกว่าจะเบ็ดเสร็จ ในสำนักงานนี้ อุตส่าห์เตรียมอ่านคู่มือสอบมาอย่างหนักหน่วง เข้าไปทดสอบทางออนไลน์ไม่รู้กี่รอบ สุดท้ายต้องส่งไปอีกที่ ดีหน่อยที่เป็นเมกา ขอใช้สิทธิ์ต่อว่านิดนึง “ฉันก็นึกว่าทำให้แล้วเสร็จเสียตรงนี้เลย”​ อุทานออกมาจนเจ้าหน้าที่ข้าง ๆ หันมามองหน้า

คนมาใช้บริการ ปั่นจักรยานมาทำธุระ น่ารักดี 




พูดอะไรไม่ออกครับ “งั้นขอได้โปรดวาดแผนที่ให้ฉันด้วย” ไหน ๆ ก็มาถึงจุดนี้แล้ว ทำให้เสร็จ ๆ ไปภายในวันเดียว ทั้งที่คุณดำ  ก็ให้ตัวเลือกมา ว่าถ้าไม่สะดวกก็ทำวันอื่นได้ ขอกัดฟันเล็กน้อย
“แล้วเสียค่าบริการที่นี่เท่าไหร่?”​ ในใจนึกแล้วว่าอย่างน้อยก็คงโดนชาร์ตค่าเดินเอกสาร แต่ผลไม่เป็นดังคาดครับ “ฟรี ไม่คิดจนกว่าจะสอบผ่าน ได้ใบขับขี่” คุณดำตอบ
ฉันเริ่มจิตใจเบิกบานขึ้นมาทันที จากที่หน้าตาหงุดหงิด พอได้ยินว่าฟรี กล่าวขอบคุณแล้วปัดตูดออกไป ยังสถานที่สอบข้อเขียน สถานที่สอบเป็นโรงเรียนสอนขับรถ ต้องขับรถวนหาอยู่สองรอบ ด้านหน้าบ้านเยิน ๆ ดูมอมแมม รก ๆ มีป้ายไม่ค่อยเป็นระเบียบ เขียนด้วยมือ บอกโรงเรียนสอนขับรถ และสอบข้อเขียน

ภาพด้านหน้าอาคาร มีเลขบอกที่อยู่เด่นหรา ชัดเจน เผื่อคนไม่เคยมา ก็ตามกูเกิลแมปมาเรื่อย ๆ 




เปิดประตูเข้าไป เป็นป้าอ้วน ๆ นั่งหน้าคอมพ์​ นางเปิดเพลงผ่านลำโพงได้ดังมาก “นี่มันใช่สถานที่สอบข้อเขียน จริงหรือนี่?​” คิดในใจ นางตัดบท กล่าวทักทาย เหมือนจะอ่านความคิดได้

ติวหนังสือ อ่านเตรียมพร้อมมาเต็มที่ 




ป้าอ้วน “ขอดูเอกสารค่ะ”​ นางเอ่ยถาม จากนั้นฉันก็ยื่นให้ แล้ว สักพักนางก็ยื่นข้อสอบภาษาอังกฤษพร้อมกระดาษมีช่อง ๆ เหมือนทำข้อสอบปลายภาคเมื่อสมัยเรียนมัธยมปลายมาให้ เวลาไม่มีกำหนด เสร็จเมื่อไหร่ให้บอกนาง ระหว่างนั้นก็มีคนเม็กซิกัน สองคนเดินเข้ามา

นี่คือด้านหน้าโรงเรียนสอนขับรถ สภาพค่อนข้างเยิน ๆ อยู่สักนิด เป็นสถานที่สอบข้อเขียน 




คนหนึ่งมาเป็นเพื่อน อีกคนเป็นผู้สมัครสอบ ขอข้อสอบภาษาสเปน คิดน้อยใจ ทำไมไม่มีภาษาไทยว่ะ แต่ก็ก้มหน้าทำต่อไป มีไม่มั่นใจอยู่สามข้อ พอทบทวน จนได้ที่ ฉันไม่รีรอ ยกมือบอกคุณป้าอ้วน “ฉันทำข้อสอบเสร็จแล้ว แต่ไม่มั่นใจอยู่สามข้อ ช่วยใบ้ให้หน่อย ฉันไม่เข้าใจภาษาอังกฤษคำนี้”​ ทำหน้าตาอ้อนวอน อ้างว่าเป็นคนต่างชาติ ไม่แตกฉานภาษาอังกฤษ​ ก็จริงอย่างนั้น คำถามงง ๆ นึกภาพไม่ออก

เป็นไงหล่ะ?​ สมกับที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือมาอย่างหนัก ผิดแค่ข้อเดียว ...​เย่ ๆ 




คุณป้านอกจากจะอ้วนแล้ว ยังใจดำอีก ส่ายหน้าอย่างเดียวเลย “ไม่ได้ เป็นกฎค่ะ”​ แต่นางก็แอบอธิบาย ทำมือไม้ให้เห็นภาพตาม ก็ขอบคุณนางแล้วกัน สุดท้าย ขอส่งข้อสอบเลยแล้วกัน
ลุ้นใหญ่เลยทีนี้ มือไม้เริ่มสั่น ตาเริ่มพร่ามัว ... เลือดลมนี่พุ่งพล่าน นางเหมือนจะอ่านใจออกรอบสอง เหมือนโดนแกล้งด้วยเบา ๆ ตรวจข้อสอบอย่างใจเย็น มิหนำซ้ำยังมีหน้ารับสายโทรศัพท์​ก่อนอีกด้วย

ตรงแยกไฟแดง โฮมเลสคนนี้นั่งกางร่มสีรุ้ง ท่ามกลางสายฝน เฮ้อ...​เราก็แอบผิด นิด ๆ ที่ถ่ายรูปเค้าเอาไว้ 




เริ่มใจอยู่กับเนื้อกับตัว ลุ้นจนตัวโก่งแล้ว วางสายสักทีคุณป้าอ้วน หลังจบบทสนทนา นางคว้าปากกาแดง ตั้งหน้าตั้งตาตรวจต่อ ข้อสอบมีทั้งหมด ๒๕ ข้อ กฎหมายระบุ ห้ามผิดเกิน ๕​ ข้อ...
ในที่สุด นางเขียนวงกลมแดง ในนั้นระบุคะแนน ตัวใหญ่เบ่อเริ่ม ผิดหนึ่งข้อ ฉันดีใจมาก เกือบกระโดดกอดหอมแก้มนาง “ต่อไปก็สอบภาคปฏิบัติบนท้องถนน แต่ทางเรามีตารางนัดแล้ว เป็นวันจันทร์หน้า”​

กับคุณสามี ไปซื้อของใช้มือสอง เข้าบ้าน หลังจากสอบใบขับขี่เสร็จได้ไม่นาน ฉลอง....กันสักหน่อย 




จากเมื่อกี้ดีใจออกนอกหน้า เปลี่ยนอารมณ์อีกหล่ะ ยังกะกิ้งก่าเปลี่ยนสี เลยฉัน...​ไม่รู้แล้วจ้า จึงออกปากถามนาง มีช่องทางไหนจะทำให้ได้เร็วที่สุด นางบอกในเมืองโอลิมเปีย ถัดไป มีโรงเรียนที่รับสอบขับขี่อยู่ ลองติดต่อดู จากนั้นนางก็ปริ้นท์เอกสาร ระบุคะแนนประเมินผลสอบภาคข้อเขียนมาให้
ฉันรับใบนั้นกลับบ้าน จ่ายค่าสอบข้อเขียน เดินคอตกแบบไร้วิญญาณ​
เห้อ...นึกว่าจะเสร็จสิ้น ภายในวันเดียว ที่เดียว นี่ต้องหอบร่าง ไปหาที่สอบใหม่อีกที่
ไว้มารีวิวให้ฟังอีกทีนะครับ สำหรับการสอบบนท้องถนน


สามเกลอ

98584-USA

Wednesday, January 13, 2016

สายการบินเครื่องเทศ​ รสเด็ดจัดจ้าน


สนามบินที่ลงจอด เดลีอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ต ไม่ได้เยินอย่างที่คิดไว้ ย้อนกลับไปสำหรับทริปอินเดียเมื่อปลายปี 2013 กับการทดลองบินไปประเทศอินเดียครั้งแรก สายการบินโลว์โคสต์ปีกแดงสัญชาติมาเลย์ ที่บินจากดอนเมือง ลงจอดเมืองโกลกาต้า (Kolkata)  ทางตอนใต้ เที่ยวบินตอนดึกไม่ค่อยมีคนไทย จำได้ว่ากลุ่มแขกชายฉกรรจ์​ข้างหน้า หอบหิ้วหมอนมุ้ง พะรุงพะรัง ยังกะไม่เคยเจอสินค้าเมดอินไทยแลนด์ ใช้เวลาในการจัดแต่งพิกัดสัมภาระ ถ่วงเวลาอยู่หน้าเคาเตอร์​ นานมาก! เขาทั้งหลายเล่นมากันเป็นกลุ่ม เป็นครอบครัวใหญ่ กระเป๋าไหนของใครน้ำหนักยังพอเหลือกำหนดโควตา จัดการรื้อใหม่ ยัดไส้กันต่อหน้าต่อตา เข้าขั้นระดับเซียน


ลงจอด...​รอชัตเตอร์บัสจากอาคารระหว่างเทศ​ ไปอาคารการบินภายในประเทศ 



เราไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ก็แปลกตาดี แทนที่จะโมโห กลับเอ็นดูและทึ่ง กับทักษะขั้นเทพ แต่สำหรับครอบครัวชาวอินเดียอีกลุ่มข้างหลัง โวยวายกันใหญ่  พูดภาษาถิ่น ที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดอะไรกันไม่รู้ แต่หน้าตานางและคนในครอบครัวนิ ออกอาการไม่บอกบุญเอาเสียเลย ดูหงุดหงิดจนต้องเดินวนไปมุงเหตุการณ์ใกล้ ๆ คือนางจะต่อว่า อะไรเทือกนั้น แต่ด้วยพวกหนุ่มกลุ่มข้างหน้า ล้วนชายฉกรรจ์​ นางจึงได้แต่ส่งสายตาพิฆาต ไอ้เรา ใจเย็น ออกปาก “สูดหายใจเข้าลึก ๆ ช่วยได้” นางพยักหน้า เหมือนจะทำตาม แต่เสียงหายใจนิ ยังฮึดฮัด ยังกะกระทิงดุเมืองสเปน



ภายในชัตเตอร์บัส ยืนเท่านั้นครับ ถึงจะได้อารมณ์​




สำหรับสายการบินปีกแดงนี้ นอกจากกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องบินจะต้องไม่เกินพิกัดแล้ว น้ำหนักกระเป๋าแคร์รี่ออนขึ้นเครื่องก็ เข้มงวดเป็นพิเศษไม่แพ้กัน​ แอบวีนให้เจ้าหน้าที่หน้าประตูทางเข้าตรวจคนออกเมือง แอบเคืองนางเล็ก ๆ เพราะนึกว่าด้วยที่เราเป็นคนไทย พูดภาษาไทย จะได้สิทธิพิเศษ เกินนิดหน่อย เพราะไม่ได้โหลดกระเป๋านั่นเอง กะจะเดินแบกเป้ พูดง่าย ๆ งก กะจะเลี่ยงควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าโหลดกระเป๋าสักหน่อย  ปรากฎว่าเล่นเอาตาชั่งแบบที่แม่ค้าขายปลาในตลาดสด มาตั้งดัก ชั่งน้ำหนักกันต่อหน้าต่อตา ต้องเสียเวลา โดนชาร์ตน้ำหนักกระเป๋าเกิน ควักตังค์โดยไม่เต็มใจ ตั้งหลายพันบาท


ถึงแล้วอาคารโดยสารภายในประเทศ​ มีเท็กซี่เรียงเป็นระเบียบสวยงาม 




วกกลับมาที่แอร์พอร์ตนานาชาติกรุงเดลี (DELHI) เที่ยวล่าสุด ขาออกนอกประเทศไม่ค่อยห่วง เพราะใช้โควตาพิกัดกระเป๋าระหว่างประเทศ แต่อีตอนขึ้นเครื่องต่อจากกรุงเดลี ไปสนามบินเมืองเดราดุน (DEHRADUN) นี่ซิ ต้องงัดเอาวิทยายุทธยัดไส้ ที่เพิ่งเรียนรู้เมื่อวานจากกลุ่มแขกชายฉกรรจ์กลุ่มดังกล่าวมาใช้ ขอขอบคุณอย่างเป็นทางการ  


ด่านนี้ค่อนเข้มงวด ค้นตัวหาวัตถุต้องสงสัย เล่นคลำจนเสียวสะท้าน 





ตอนออกจากแอร์พอร์ตกรุงเดลี ยังไม่ได้แตะต้องกระเป๋าโหลดจากไทย เพราะยังไม่ถึงสนามบินภายใน อารมณ์เดียวกันกับดอนเมืองและสุวรรณภูมิเลยครับ ระยะทางห่างไกลกันมาก ตอนจะเดินทาง หาข้อมูลมาบ้างทางอินเตอร์เน็ต เหมือนใกล้ ๆ เอาเข้าจริง ๆ ร่วมชั่วโมงกว่า ยืนบนรถชัตเตอร์บัส ออ…ลืมชมเชย สนามบินกรุงเดลีสะอาดสะอ้านใช้ได้ทีเดียว ไม่สกปรกเหมือนเมืองโกลกาต้า  โหย สนามบินนั้น อย่าให้พูดถึงเลยครับ เสาทุกต้นต้องมีคราบน้ำหมากแดง ๆ เต็มไปหมด



บันไดเลื่อนด้านข้าง สำหรับลงไปรอเครื่องบินเทียบท่า 






พอไปถึงแอร์พอร์ตภายในประเทศ​ สิ่งแรกที่พุ่งไปก่อนคือ เคาเตอร์ที่ยังไม่เจ้าหน้าที่ให้บริการ แต่ตาชั่งน้ำหนักยังเปิดออนอยู่ ขึ้นหน้าจอดิจิตัลแสดงผลสีแดง จัดการโยกกระเป๋าใบเขื่อง ขึ้นสายพาน ลุ้นน้ำหนักว่าเกินมากี่กิโล จากนั้นก็เทียบกับกระเป๋าที่จะหิ้ว จะต้องแบ่งสรรปันส่วนอย่างไร ไม่ให้โดนชาร์ต โดยใช่เหตุ


เดินหาดูร้านข้างในเล่น ๆ และการตกแต่ง




ปฏิบัติการยัดไส้ เริ่มต้นขึ้น หันซ้ายแลขวา เห็นที่เหมาะ แบะกระเป๋าเดินทางสีดำใบเขื่อง วินาทีนั้นเอง กางเกงลิงแล่บ โผล่ซุกซนออกมาทักผู้คน เล่นเอาชะนีแขกในชุดสาหรีบางคน เอียงหน้าหนีอย่างอาย ๆ คิดในใจ “เอาเหอะ ไม่ใช่บ้านกรู​ ไม่มีใครรู้จัก”​ ว่าแล้วก็จัดแจง รกแต่งน้ำหนักกระเป๋า เสร็จรอบแรก โยนขึ้นตาชั่ง พร้อมลุ้นตัวโก่ง ยังเกินมานิดหน่อย เลยตัดสินใจ ยัดไส้ใหม่อีกครั้ง บ่นให้ตัวเองในใจ รู้งี้ ซื้อน้ำหนักไว้เยอะ ๆ ดีกว่า ไม่ต้องมาลำบาก ยัดจนกระเป๋าปริ มิหนำซ้ำ ยังปิดไม่ค่อยจะได้ ต้องนั่งค่อมปลุกปล้ำกับกระเป๋าท่ามกลางฝูงชน เหมือนในหนังฮอลลี่วูดบางเรื่อง ที่นางเอกเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าลากใบใหญ่ หนีตามพระเอกในท้องเรื่อง



เค้าเตอร์ประชาสัมพันธ์ มืด ๆ น่ากลัว...​เลยไม่ถาม




ตามคาดครับ โดนชาร์ตไปมหาโหด ต้องควักเงินที่กันไว้สำหรับใช้จ่ายในเมืองริชิเกษ   (Rishikesh)  คือในขณะนั้น ทั้งเหนื่อย ทั้งง่วง เพลียจากเที่ยวบินกลิ่นเต่า จากไทย ไหนจะต้องห้อยโหนรถชัตเตอร์บัส อยากจะเดินทางให้ถึงที่หมายเต็มที่ เช็คอินอะไรเสร็จสรรพ เข้าไปในสนามบิน มาก่อนกำหนดเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมง  


นั่งมองสตรีอินเดีย ในชุดสาหรี ก็เพลินดีไปอีกแบบ 





นั่งมองผู้คนเล่นให้ชินตา สตรีแขกมากหน้า ห่มส่าหรีสีสันสดใส ปลิวว่อนร่อนผ่านไปมา ไม่น่าเบื่อดี แต่ทำไม๊ทำไม ตาเริ่มหนัก ๆ ลุกเดินไปสั่งกาแฟ อีกถ้วย ยกซดจนหมด แล้วนั่งรอต่อไป นี่ก็จวนจะได้เวลาตามที่ตั๋วกำหนดแล้ว แต่ไม่เห็นจะมีวี่แวว เที่ยวบินของฉันจะเทียบท่าสักที ประตูทางออกที่ระบุก็ไม่น่าจะผิดพลาด แต่ทำไมยังไม่เรียก “หรือว่ามาผิดอาคาร?”​ ใจเริ่มตกหล่นไปอยู่ตาตุ่มอีกครั้ง



เป็นไงหล่ะ สีนี้...สะดุดตาดีทีเดียว





ทำใจดีสู้เสือ พอจับทางได้ว่า ออ…เกทขึ้นเครื่องของที่นี่ไม่มีตัวอักษรหรือเครื่องหมายบอกสัญญาณให้รู้ตัว แต่จะเรียกผ่านไมโครโฟนเอา ให้นึกภาพคิวรถสองแถวตามเมืองท่องเที่ยวในไทยอ่ะครับ เริ่มใจไม่ดี ฝรั่งที่รออยู่ด้วยกันก็เดินทางหนีไปกันหมด สรุปคือมันใช่ไหมเนี้ย เกทนี้เนี้ย?​ ชักกระวนกระวายใจ ตัดสินใจไม่ขอนั่งต่อแล้ว ขืนยังนิ่งเฉย อยู่อย่างนี้ มีหวังตกเครื่องซื้อตั๋วใหม่ โดยชาร์ตอีกเด้งแน่เลย เริ่มอยู่ไม่สุข เหมือนโดนไฟรน กวาดสายตาหาเหยื่อ เริ่มมองกลุ่มเด็กวัยรุ่นหน่อย ที่พอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้รู้เรื่อง แต่พอเข้าไปถาม ต่างส่ายหน้ากัน ไม่รู้เรื่อง เพราะภาษาอังกฤษตรูไม่ดี หรือว่าไม่รู้จริง ๆ ว่ะเนี้ย ตายห่า…ทำไงหล่ะทีนี้  



ประตูทางออกนี้แหล่ะ กว่าจะรู้ตัว ว่ามีจอทีวีเล็ก ๆ ด้านขวามือ ก็ปล่อยไก่ไปตัวเบ่อเร่อ




เอาหล่ะซิ เราก็เดินตาเหลือกลงบันไดไป ตามที่เจ้าหน้าที่เช็คอินบอกนะ ลืมบอกไป ว่าเกทขึ้นเครื่องของสนามบินภายในประเทศนี้ นึกให้อีกคล้าย ๆ ป้ายจอดรถเมล์ขสมก.​ในกรุงเทพฯ​ จะมีสายต่าง ๆ จากหลายบริษัทมาเทียบ แล้วแต่จะจับรถทันไม่ทันเท่านั้นเอง แต่คนที่นี่ก็คงชิน ยังไม่เห็นมีใครทำหน้าตาตื่นตระหนกเหมือนกับฉัน



โหนอีกตามเคย บนชัตเตอร์บัส ก่อนขึ้นเครื่องที่จอดรออยู่บนรันเวย์​




“ระบบห่าอะไรกันนี่ แทนที่แบ่งเกทละสายการบิน”​ ฉันบ่นพึมพำ ชะเง้อมองออกไปนอกกระจก ตัดสินใจเดินย้อนกลับขึ้นไปชั้นสอง ถามประชาสัมพันธ์ให้รู้เรื่อง ปรากฎว่า เสียงจากลำโพงประกาศให้ผู้โดยสารสายการบินนี่ ๆๆๆ เที่ยวบินนี่ๆๆๆ ขึ้นรถชัตเตอร์บัสไปยังเครื่องบินที่จอดอยู่เตรียมร่อนลัดฟ้า เห้อ… ไอ้ฉันก็หมุนตัวกลับหลังหันแทบไม่ทัน อยากจะวีนใครก็วีนไม่ได้ ด่าเป็นภาษาไทยแม่งเลย


ต่อคิว... ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย 





แล้วอีพวกผู้โดยสารคนอื่น เที่ยวบินเดียวกันมาจากไหน?​ ก่อนหน้านี้ทำไมไม่เห็นกระวีกระวาด เหมือนฉันเลย ปล่อยให้ฉันเป็นอีบ้า ร้อนรนจนนั่งไม่ติดอยู่ได้ ทำอะไรไม่ถูกเลย มามุกนี้ แต่โชคดี ไม่ตกเครื่องก็บุญแล้ว ขึ้นเครื่องได้ หย่อนก้นลงนั่งอย่างอุ่นใจ พยายามมองรอบ ๆ ตัวให้ชินตา  เพราะเป็นเครื่องบินใบพัดลำเล็ก ห่วงนิด ๆ ว่าจะเสียงดังหรือคับแคบอะไรหรือป่าว ไม่เคยบินลำเล็กมาก่อน คงจะอึดอัดน่าดู



เซล์ฟี่สักหนึ่งช็อต ก่อนไปรอลุ้นว่าข้างในห้องผู้โดยสารจะเป็นอีท่าไหน ...เห้อ ทำใจไว้ก่อน 




เท่านั้นแหล่ะ …​รสขมย้อนขึ้นมาอยู่ที่คอหอย “กลิ่นเต่าแขก” แน่ ๆ แค่คิดก็สยอง ทันใดนั้น หยิบผ้าพันคอออกมาเตรียวไว้เลยครับ คลุมรูจมูกสุดฤทธิ์​ มองหาที่นั่ง ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งเครื่องเทคออฟ ออกจากสนามบิน



ภายในเครื่องบิน ไม่ได้แออัดอย่างที่ประเมินจากภายนอก





ลงจอดที่สนามบินปลายทางอย่างปลอดภัย ที่สำคัญไร้กลิ่นรบกวนด้วย ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ ผ้าปิดจมูกยี่ห้อสามเอ็ม ยาหอมวัดโพธิ์ ยาอมโบตัน และยาหม่องตาลิงถือลูกท้อ ฮ่า ๆๆๆ พูดเล่นขำ ๆ ครับ แต่แนะนำ ใครคิดจะเที่ยวอินเดีย ขอให้ติดยาดมมาด้วยสักหลอด ประหนึ่งยาสามัญประจำตัว



ใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมง ละแล้วก็ถึงสนามบิน เดห์ราดุน (Dehradun)  





แท้จริงกว่าสิ่งใด นึกขอบพระคุณกลุ่มเหล่าชายฉกรรจ์จากทริปอินเดียครั้งก่อน ที่สอนวิธีการยัดไส้ สัมภาระ ไม่เช่นนั้น คงโดนชาร์ตไปหลายตังค์​ เผ็ดแสบ แซ่บเว่อร์​ สายการบินเครื่องเทศ เมืองภารตะ


จับรถเท็กซี่ต่อ ไปยังเมืองริชิเกช ต้องใช้ระยะเวลาบนสี่ล้อ อีกเกือบหนึ่งชั่วโมง 

เริงร่า โดยหารู้ตัวไม่ว่า การจราจรข้างหน้า จะมหาโหดขนาดไหน 







 สามเกลอ 
98594-U.S.A.