Wednesday, January 13, 2016

สายการบินเครื่องเทศ​ รสเด็ดจัดจ้าน


สนามบินที่ลงจอด เดลีอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ต ไม่ได้เยินอย่างที่คิดไว้ ย้อนกลับไปสำหรับทริปอินเดียเมื่อปลายปี 2013 กับการทดลองบินไปประเทศอินเดียครั้งแรก สายการบินโลว์โคสต์ปีกแดงสัญชาติมาเลย์ ที่บินจากดอนเมือง ลงจอดเมืองโกลกาต้า (Kolkata)  ทางตอนใต้ เที่ยวบินตอนดึกไม่ค่อยมีคนไทย จำได้ว่ากลุ่มแขกชายฉกรรจ์​ข้างหน้า หอบหิ้วหมอนมุ้ง พะรุงพะรัง ยังกะไม่เคยเจอสินค้าเมดอินไทยแลนด์ ใช้เวลาในการจัดแต่งพิกัดสัมภาระ ถ่วงเวลาอยู่หน้าเคาเตอร์​ นานมาก! เขาทั้งหลายเล่นมากันเป็นกลุ่ม เป็นครอบครัวใหญ่ กระเป๋าไหนของใครน้ำหนักยังพอเหลือกำหนดโควตา จัดการรื้อใหม่ ยัดไส้กันต่อหน้าต่อตา เข้าขั้นระดับเซียน


ลงจอด...​รอชัตเตอร์บัสจากอาคารระหว่างเทศ​ ไปอาคารการบินภายในประเทศ 



เราไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ก็แปลกตาดี แทนที่จะโมโห กลับเอ็นดูและทึ่ง กับทักษะขั้นเทพ แต่สำหรับครอบครัวชาวอินเดียอีกลุ่มข้างหลัง โวยวายกันใหญ่  พูดภาษาถิ่น ที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดอะไรกันไม่รู้ แต่หน้าตานางและคนในครอบครัวนิ ออกอาการไม่บอกบุญเอาเสียเลย ดูหงุดหงิดจนต้องเดินวนไปมุงเหตุการณ์ใกล้ ๆ คือนางจะต่อว่า อะไรเทือกนั้น แต่ด้วยพวกหนุ่มกลุ่มข้างหน้า ล้วนชายฉกรรจ์​ นางจึงได้แต่ส่งสายตาพิฆาต ไอ้เรา ใจเย็น ออกปาก “สูดหายใจเข้าลึก ๆ ช่วยได้” นางพยักหน้า เหมือนจะทำตาม แต่เสียงหายใจนิ ยังฮึดฮัด ยังกะกระทิงดุเมืองสเปน



ภายในชัตเตอร์บัส ยืนเท่านั้นครับ ถึงจะได้อารมณ์​




สำหรับสายการบินปีกแดงนี้ นอกจากกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องบินจะต้องไม่เกินพิกัดแล้ว น้ำหนักกระเป๋าแคร์รี่ออนขึ้นเครื่องก็ เข้มงวดเป็นพิเศษไม่แพ้กัน​ แอบวีนให้เจ้าหน้าที่หน้าประตูทางเข้าตรวจคนออกเมือง แอบเคืองนางเล็ก ๆ เพราะนึกว่าด้วยที่เราเป็นคนไทย พูดภาษาไทย จะได้สิทธิพิเศษ เกินนิดหน่อย เพราะไม่ได้โหลดกระเป๋านั่นเอง กะจะเดินแบกเป้ พูดง่าย ๆ งก กะจะเลี่ยงควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าโหลดกระเป๋าสักหน่อย  ปรากฎว่าเล่นเอาตาชั่งแบบที่แม่ค้าขายปลาในตลาดสด มาตั้งดัก ชั่งน้ำหนักกันต่อหน้าต่อตา ต้องเสียเวลา โดนชาร์ตน้ำหนักกระเป๋าเกิน ควักตังค์โดยไม่เต็มใจ ตั้งหลายพันบาท


ถึงแล้วอาคารโดยสารภายในประเทศ​ มีเท็กซี่เรียงเป็นระเบียบสวยงาม 




วกกลับมาที่แอร์พอร์ตนานาชาติกรุงเดลี (DELHI) เที่ยวล่าสุด ขาออกนอกประเทศไม่ค่อยห่วง เพราะใช้โควตาพิกัดกระเป๋าระหว่างประเทศ แต่อีตอนขึ้นเครื่องต่อจากกรุงเดลี ไปสนามบินเมืองเดราดุน (DEHRADUN) นี่ซิ ต้องงัดเอาวิทยายุทธยัดไส้ ที่เพิ่งเรียนรู้เมื่อวานจากกลุ่มแขกชายฉกรรจ์กลุ่มดังกล่าวมาใช้ ขอขอบคุณอย่างเป็นทางการ  


ด่านนี้ค่อนเข้มงวด ค้นตัวหาวัตถุต้องสงสัย เล่นคลำจนเสียวสะท้าน 





ตอนออกจากแอร์พอร์ตกรุงเดลี ยังไม่ได้แตะต้องกระเป๋าโหลดจากไทย เพราะยังไม่ถึงสนามบินภายใน อารมณ์เดียวกันกับดอนเมืองและสุวรรณภูมิเลยครับ ระยะทางห่างไกลกันมาก ตอนจะเดินทาง หาข้อมูลมาบ้างทางอินเตอร์เน็ต เหมือนใกล้ ๆ เอาเข้าจริง ๆ ร่วมชั่วโมงกว่า ยืนบนรถชัตเตอร์บัส ออ…ลืมชมเชย สนามบินกรุงเดลีสะอาดสะอ้านใช้ได้ทีเดียว ไม่สกปรกเหมือนเมืองโกลกาต้า  โหย สนามบินนั้น อย่าให้พูดถึงเลยครับ เสาทุกต้นต้องมีคราบน้ำหมากแดง ๆ เต็มไปหมด



บันไดเลื่อนด้านข้าง สำหรับลงไปรอเครื่องบินเทียบท่า 






พอไปถึงแอร์พอร์ตภายในประเทศ​ สิ่งแรกที่พุ่งไปก่อนคือ เคาเตอร์ที่ยังไม่เจ้าหน้าที่ให้บริการ แต่ตาชั่งน้ำหนักยังเปิดออนอยู่ ขึ้นหน้าจอดิจิตัลแสดงผลสีแดง จัดการโยกกระเป๋าใบเขื่อง ขึ้นสายพาน ลุ้นน้ำหนักว่าเกินมากี่กิโล จากนั้นก็เทียบกับกระเป๋าที่จะหิ้ว จะต้องแบ่งสรรปันส่วนอย่างไร ไม่ให้โดนชาร์ต โดยใช่เหตุ


เดินหาดูร้านข้างในเล่น ๆ และการตกแต่ง




ปฏิบัติการยัดไส้ เริ่มต้นขึ้น หันซ้ายแลขวา เห็นที่เหมาะ แบะกระเป๋าเดินทางสีดำใบเขื่อง วินาทีนั้นเอง กางเกงลิงแล่บ โผล่ซุกซนออกมาทักผู้คน เล่นเอาชะนีแขกในชุดสาหรีบางคน เอียงหน้าหนีอย่างอาย ๆ คิดในใจ “เอาเหอะ ไม่ใช่บ้านกรู​ ไม่มีใครรู้จัก”​ ว่าแล้วก็จัดแจง รกแต่งน้ำหนักกระเป๋า เสร็จรอบแรก โยนขึ้นตาชั่ง พร้อมลุ้นตัวโก่ง ยังเกินมานิดหน่อย เลยตัดสินใจ ยัดไส้ใหม่อีกครั้ง บ่นให้ตัวเองในใจ รู้งี้ ซื้อน้ำหนักไว้เยอะ ๆ ดีกว่า ไม่ต้องมาลำบาก ยัดจนกระเป๋าปริ มิหนำซ้ำ ยังปิดไม่ค่อยจะได้ ต้องนั่งค่อมปลุกปล้ำกับกระเป๋าท่ามกลางฝูงชน เหมือนในหนังฮอลลี่วูดบางเรื่อง ที่นางเอกเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าลากใบใหญ่ หนีตามพระเอกในท้องเรื่อง



เค้าเตอร์ประชาสัมพันธ์ มืด ๆ น่ากลัว...​เลยไม่ถาม




ตามคาดครับ โดนชาร์ตไปมหาโหด ต้องควักเงินที่กันไว้สำหรับใช้จ่ายในเมืองริชิเกษ   (Rishikesh)  คือในขณะนั้น ทั้งเหนื่อย ทั้งง่วง เพลียจากเที่ยวบินกลิ่นเต่า จากไทย ไหนจะต้องห้อยโหนรถชัตเตอร์บัส อยากจะเดินทางให้ถึงที่หมายเต็มที่ เช็คอินอะไรเสร็จสรรพ เข้าไปในสนามบิน มาก่อนกำหนดเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมง  


นั่งมองสตรีอินเดีย ในชุดสาหรี ก็เพลินดีไปอีกแบบ 





นั่งมองผู้คนเล่นให้ชินตา สตรีแขกมากหน้า ห่มส่าหรีสีสันสดใส ปลิวว่อนร่อนผ่านไปมา ไม่น่าเบื่อดี แต่ทำไม๊ทำไม ตาเริ่มหนัก ๆ ลุกเดินไปสั่งกาแฟ อีกถ้วย ยกซดจนหมด แล้วนั่งรอต่อไป นี่ก็จวนจะได้เวลาตามที่ตั๋วกำหนดแล้ว แต่ไม่เห็นจะมีวี่แวว เที่ยวบินของฉันจะเทียบท่าสักที ประตูทางออกที่ระบุก็ไม่น่าจะผิดพลาด แต่ทำไมยังไม่เรียก “หรือว่ามาผิดอาคาร?”​ ใจเริ่มตกหล่นไปอยู่ตาตุ่มอีกครั้ง



เป็นไงหล่ะ สีนี้...สะดุดตาดีทีเดียว





ทำใจดีสู้เสือ พอจับทางได้ว่า ออ…เกทขึ้นเครื่องของที่นี่ไม่มีตัวอักษรหรือเครื่องหมายบอกสัญญาณให้รู้ตัว แต่จะเรียกผ่านไมโครโฟนเอา ให้นึกภาพคิวรถสองแถวตามเมืองท่องเที่ยวในไทยอ่ะครับ เริ่มใจไม่ดี ฝรั่งที่รออยู่ด้วยกันก็เดินทางหนีไปกันหมด สรุปคือมันใช่ไหมเนี้ย เกทนี้เนี้ย?​ ชักกระวนกระวายใจ ตัดสินใจไม่ขอนั่งต่อแล้ว ขืนยังนิ่งเฉย อยู่อย่างนี้ มีหวังตกเครื่องซื้อตั๋วใหม่ โดยชาร์ตอีกเด้งแน่เลย เริ่มอยู่ไม่สุข เหมือนโดนไฟรน กวาดสายตาหาเหยื่อ เริ่มมองกลุ่มเด็กวัยรุ่นหน่อย ที่พอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้รู้เรื่อง แต่พอเข้าไปถาม ต่างส่ายหน้ากัน ไม่รู้เรื่อง เพราะภาษาอังกฤษตรูไม่ดี หรือว่าไม่รู้จริง ๆ ว่ะเนี้ย ตายห่า…ทำไงหล่ะทีนี้  



ประตูทางออกนี้แหล่ะ กว่าจะรู้ตัว ว่ามีจอทีวีเล็ก ๆ ด้านขวามือ ก็ปล่อยไก่ไปตัวเบ่อเร่อ




เอาหล่ะซิ เราก็เดินตาเหลือกลงบันไดไป ตามที่เจ้าหน้าที่เช็คอินบอกนะ ลืมบอกไป ว่าเกทขึ้นเครื่องของสนามบินภายในประเทศนี้ นึกให้อีกคล้าย ๆ ป้ายจอดรถเมล์ขสมก.​ในกรุงเทพฯ​ จะมีสายต่าง ๆ จากหลายบริษัทมาเทียบ แล้วแต่จะจับรถทันไม่ทันเท่านั้นเอง แต่คนที่นี่ก็คงชิน ยังไม่เห็นมีใครทำหน้าตาตื่นตระหนกเหมือนกับฉัน



โหนอีกตามเคย บนชัตเตอร์บัส ก่อนขึ้นเครื่องที่จอดรออยู่บนรันเวย์​




“ระบบห่าอะไรกันนี่ แทนที่แบ่งเกทละสายการบิน”​ ฉันบ่นพึมพำ ชะเง้อมองออกไปนอกกระจก ตัดสินใจเดินย้อนกลับขึ้นไปชั้นสอง ถามประชาสัมพันธ์ให้รู้เรื่อง ปรากฎว่า เสียงจากลำโพงประกาศให้ผู้โดยสารสายการบินนี่ ๆๆๆ เที่ยวบินนี่ๆๆๆ ขึ้นรถชัตเตอร์บัสไปยังเครื่องบินที่จอดอยู่เตรียมร่อนลัดฟ้า เห้อ… ไอ้ฉันก็หมุนตัวกลับหลังหันแทบไม่ทัน อยากจะวีนใครก็วีนไม่ได้ ด่าเป็นภาษาไทยแม่งเลย


ต่อคิว... ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย 





แล้วอีพวกผู้โดยสารคนอื่น เที่ยวบินเดียวกันมาจากไหน?​ ก่อนหน้านี้ทำไมไม่เห็นกระวีกระวาด เหมือนฉันเลย ปล่อยให้ฉันเป็นอีบ้า ร้อนรนจนนั่งไม่ติดอยู่ได้ ทำอะไรไม่ถูกเลย มามุกนี้ แต่โชคดี ไม่ตกเครื่องก็บุญแล้ว ขึ้นเครื่องได้ หย่อนก้นลงนั่งอย่างอุ่นใจ พยายามมองรอบ ๆ ตัวให้ชินตา  เพราะเป็นเครื่องบินใบพัดลำเล็ก ห่วงนิด ๆ ว่าจะเสียงดังหรือคับแคบอะไรหรือป่าว ไม่เคยบินลำเล็กมาก่อน คงจะอึดอัดน่าดู



เซล์ฟี่สักหนึ่งช็อต ก่อนไปรอลุ้นว่าข้างในห้องผู้โดยสารจะเป็นอีท่าไหน ...เห้อ ทำใจไว้ก่อน 




เท่านั้นแหล่ะ …​รสขมย้อนขึ้นมาอยู่ที่คอหอย “กลิ่นเต่าแขก” แน่ ๆ แค่คิดก็สยอง ทันใดนั้น หยิบผ้าพันคอออกมาเตรียวไว้เลยครับ คลุมรูจมูกสุดฤทธิ์​ มองหาที่นั่ง ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งเครื่องเทคออฟ ออกจากสนามบิน



ภายในเครื่องบิน ไม่ได้แออัดอย่างที่ประเมินจากภายนอก





ลงจอดที่สนามบินปลายทางอย่างปลอดภัย ที่สำคัญไร้กลิ่นรบกวนด้วย ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ ผ้าปิดจมูกยี่ห้อสามเอ็ม ยาหอมวัดโพธิ์ ยาอมโบตัน และยาหม่องตาลิงถือลูกท้อ ฮ่า ๆๆๆ พูดเล่นขำ ๆ ครับ แต่แนะนำ ใครคิดจะเที่ยวอินเดีย ขอให้ติดยาดมมาด้วยสักหลอด ประหนึ่งยาสามัญประจำตัว



ใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมง ละแล้วก็ถึงสนามบิน เดห์ราดุน (Dehradun)  





แท้จริงกว่าสิ่งใด นึกขอบพระคุณกลุ่มเหล่าชายฉกรรจ์จากทริปอินเดียครั้งก่อน ที่สอนวิธีการยัดไส้ สัมภาระ ไม่เช่นนั้น คงโดนชาร์ตไปหลายตังค์​ เผ็ดแสบ แซ่บเว่อร์​ สายการบินเครื่องเทศ เมืองภารตะ


จับรถเท็กซี่ต่อ ไปยังเมืองริชิเกช ต้องใช้ระยะเวลาบนสี่ล้อ อีกเกือบหนึ่งชั่วโมง 

เริงร่า โดยหารู้ตัวไม่ว่า การจราจรข้างหน้า จะมหาโหดขนาดไหน 







 สามเกลอ 
98594-U.S.A.


No comments:

Post a Comment