Thursday, March 23, 2017

ฉันเรียกหลังนี้ว่า...บ้านฤดูร้อน


ต้องบอกก่อนว่าระบบสาธารณูปโภคในตัวเมืองของสหรัฐฯ​ ดีเอามาก ๆ มีระบบระเบียบ และเน้นให้บริการแก่ลูกค้าเป็นหลัก เป็นคำถามแรก ๆ เลยที่พ่อของฉันเขียนจดหมายโต้ตอบกัน เพราะพ่อทำงานการประปาฯ​ พ่อชอบอ่านหนังสือและชอบเดินทางท่องเที่ยว แต่ยังไม่เคยออกนอกประเทศ ได้ยินแต่เสียงรือเสียงเล่าอ้าง จากหลาย ๆ ปาก ก็แน่หล่ะ เมื่อพูดถึงสหรัฐฯ​ ทุกคนก็ต้องนึกถึงภาพของประเทศที่ศิวิไลซ์ เป็นประเทศเกิดใหม่ที่เจริญก้าวหน้าทั้งเทคโนโลยี และการศึกษา รวมถึงความเป็นอยู่ของผู้คน ในทริปแรกเมื่อมาเยือนสหรัฐฯ​ หลายปีก่อน บ้านของสามีอยู่ในตัวเมืองเล็ก ๆ น้ำ ไฟ รวมทั้งก๊าซเชื้อเพลิง ลำเลียงผ่านท่อส่งใต้ดิน ผ่านมิเตอร์ จ่ายพลังงานแจกจ่ายแก่ประชาชน


ผลบลูเบอร์รี่หลังบ้าน ออกผลในช่วงเดือนกรกฎาคม 

ในตอนนั้นความสนใจไม่ได้อยู่ที่เรื่องของสาธารณูปโภคสักเท่าไหร่ จึงไม่ได้ใส่ใจศึกษารายละเอียดมากนัก แต่จะว่าไป ขนาดตอนนี้เอง มีธงชัยตั้งหลักปักฐานชัดเจน ก็ยังไม่ได้สนใจอย่างที่ควร รู้แต่เพียงว่า บ้านที่ย้ายมาอยู่นั้น สามีซื้อไว้ก่อนหน้าแล้ว เมื่อหลายปีก่อน เพราะค่าที่ดินราคาถูก เนื้อที่บ้านกว้างเป็นป่า ต้นสนใหญ่เรียก Cedar ตระหง่านอยู่หน้าบ้าน เป็นเอกลักษณ์​ และที่สำคัญบ้านไม้ทำจากซุงทั้งท่อน ภาพที่สามีส่งมาให้ดูระหว่างที่ฉันอยู่ไทย ก็ได้แต่จินตนาการ เหมือนเนื้อที่จะน้อย มองผ่าน ๆ มันคือกระท่อมทรงสามเหลี่ยมธรรมดา แต่เมื่อเข้าไปดูข้างใน สามี ตกแต่งอย่างดี มีการกั้นแบ่งชั้นเป็นสัดส่วน เนื้อที่ใช้สอยก็เยอะสำหรับอยู่กันสองคน สมเหตุสมผลดี



ภาพถ่ายจากหน้าต่างบนบ้าน ด้านหน้าบริเวณทางเข้าบ้าน ต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านซ้ายมือของภาพ แต่ไม่เห็นชัดเจน 

เนื้อที่บ้านด้านหลังเป็นป่า ต้นไม้ที่ขึ้นเป็นไม้พื้นเมืองคือต้น Alder และ Maple ในฤดูหนาวจะใช้ฟืนจากต้น Alder เหล่านี้ ยัดเข้าเตาผิงให้ความอบอุ่นภายในบ้าน ในช่วงฤดูร้อน เป็นช่วงที่สนุกสนานกันใหญ่สำหรับฉันและคุณสามีจะทำหน้าที่ตัดโคล่นต้นไม้ลง และแบ่งเป็นท่อน ๆ ส่วนฉันมีหน้าที่ขนถ่ายมาใกล้ ๆ กับบริเวณเก็บฟืน มีขวานเป็นอาวุธ เตรียมผ่า เป็นหนึ่งในการออกกำลังกายที่ดีเยี่ยมอีกวิธีหนึ่ง
เตาผิงที่บ้านเป็นลักษณะเหมือนเตาอบเหล็กขนาดกลาง ไม่ใหญ่มากเหมือนปล่องไฟ ใช้ฟืนน้อย แต่ให้ความร้อนอย่างคุ้มค่า ในฤดูหนาวปรกติจะจ่ายค่าไฟฟ้าเยอะ เป็นช่วงฤดูที่ชาวอเมริกันใช้พลังงานเยอะ เพราะต้องจ่ายค่าเครื่องทำความร้อน ทั้งต้มน้ำ  อย่าเพิ่งเขำเป็นเล่นไปนะจ๊ะ ที่นี่เค้าต้มน้ำกันจริง ๆ เพราะอุณหภูมิเรียกได้ว่า ถ้าอยู่ ในฤดูหิมะ ท่อน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่มีน้ำใช้กันเลยทีเดียวครับ 


เดวิดนั่งตากแดดริมหน้าต่างห้องสมุด อ่านหนังสือ

นอกจากนั้นเตาผิงยังให้กระแสไออุ่นภายในบ้าน เรียกได้ว่าความร้อนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตของคนอเมริกัน เพราะอากาศที่นี่ค่อนข้างหนาว ยิ่งในแถบฝั่ง Northwest จะฝนตกชุก และอากาศหนาว ในรัฐ Washington อยู่ติดกับประเทศแคนาดา ทำให้อากาศแถบนี้หนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี
บ้านที่คุณสามีซื้อไว้ ถ้าจะบอกว่าใช้น้ำบาดาล Artesian Springs จะตื่นตกใจกันไหม ใช่...ตัวฉันเองยังตกใจเลย กับประเทศพัฒนาสุดขั้ว อย่างสหรัฐฯ​ แต่คุณสามียังใช้น้ำใต้ดิน ยังกะบ้านนอกที่ฉันจากมาเสียอย่างนั้น แต่ตรงกันข้าม ในมุมมองของคนสหรัฐฯ​ เอง คนที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์จากธรรมชาติ เรียกได้ว่าน้ำใต้ดินบริสุทธิ์อย่างนี้ เป็นเรื่องที่คนอเมริกันหลายคนใฝ่ฝันอยากจะครอบครอง แต่ความเป็นจริงแล้วหลายคนต้องทำงาน และจ่ายเงินรายได้ส่วนใหญ่ไปกับวัตถุที่ครอบครอง และเป็นหนี้กัน ถ้าจะถามว่าใครไม่เป็นหนี้บ้างในสหรัฐฯ​ คงหาได้น้อยรายทีเดียว โชคดีที่บ้านคุณสามีซื้อไว้บ้านหลังนี้ จ่ายด้วยเงินสด ไม่ต้องเป็นหนี้ และทยอยจ่ายในแต่ละเดือน นี่ซิถึงจะเรียกได้ว่าเป็นคุณสามีอินดี้ตัวจริง สวนกระแสคนส่วนใหญ่


ในกลางเมืองมีจัดตู้ขบวนรถไฟโบราณ ตั้งอยู่ด้านหน้าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมือง ตึกซ้ายมือคือไปรษณีย์​

ค่าน้ำที่บ้านไม่ต้องจ่าย หายห่วงไปหนึ่งเปราะ จ่ายแต่ค่าไฟประจำเดือน
ออ...​ไม่ต้องห่วงสารปนเปื้อนหรือเชื้อโรคที่อยู่ในแหล่งน้ำ เพราะหลายปีก่อน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตรวจหาค่าความบริสุทธิ์​ อยู่ในเกณฑ์เกินความพอใจ อากาศที่นี่ก็ผุดผ่องสะอาด เพราะมีต้นไม้เต็มพื้นที่ มีกระแสลมจากทะเล ช่วยสร้างระบบหมุนเวียน เรียกได้ว่า บ้านน้อยหลังนี้เป็นแหล่งพักฟื้นจากเมืองใหญ่อย่างดี ใครที่ต้องการแหล่งน้ำ และอากาศที่บริสุทธิ์หล่ะก็​ เป็นสวรรค์ย่อม ๆ เลยก็ว่าได้ ยินดีต้อนรับนะจ๊ะ 


ขับรถออกไปเที่ยว ชมวิวสนสองข้างทาง 

ไม่แน่ใจว่าบ้านอื่นเค้าจ่ายค่าน้ำกันไปกี่เหรียญ แต่ที่แน่ ๆ เดือนนี้บิลล์ค่าไฟมา 93 ดอลล่าร์​ ตีค่าเป็นเงินบาท ก็เกือบราว ๆ สามพันกว่า
ว่าแล้วก็ขอเขียนเช็คแชร์ค่าไฟกับคุณสามีซะเลย .....​

สามเกลอ 



Thursday, March 9, 2017

โรงเรียนเปิดแล้ว Nice to Know You!

เอกสารการเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน เงินสด และแพ็คเกตวีซ่าคู่หมั้นสหรัฐฯ​ รักษาเท่าชีวิต! 


กว่าจะเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทาง แท็กซี่ซิ่งมหาประลัย คิดในใจ กรูคิดถูกหรือผิดว่ะเนี้ย เอาชีวิตมาทิ้งกลางทางหรือป่าวก็ไม่รู้ เข้าโค้งที สาวพวงมาลัยยังกะถนนคุณเธอได้มาตรฐานระดับไอเอสโองั้น แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของการเช่าแท็กซี่คือ ไม่ต้องแชร์พื้นที่กับผู้โดยสารคนอื่น 
วิวเส้นทางจากสนามบินมาเมืองริชิเกษแปลกตาไม่น้อย ก็สวยงาม สองข้างทางด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์​ เป็นภูเขา และต้นไม้ลำธาร พอทำให้ผ่อนคลายลงได้บ้าง นั่งรถไปเรื่อย ๆ ผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ แล้วก็เข้าเขตเมืองริชิเกษ สิ่งหนึ่งที่บอกให้รู้ใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว นั่นคือ รถติดครับ 


ถึงสนามบินกรุงเดลี ขาเข้าระหว่างประเทศ มีการตกแต่งยิ่งใหญ่ เป็นเอกลักษณ์ดีทีเดียว 

ติดกันยาวเป็นกิโลเลย เมืองริชิเกษเป็นเมืองเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของอินเดีย เป็นช่วงลำดับต้น ๆ ของสายน้ำสำคัญทางจิตวิญญาณ นั่นคือแม่น้ำคงคา (Ganges River) รถติดทั้งขาเข้าและขาออก ถนนลาดยาง สองเลน ต่างไม่เอื้อน้ำใจให้กัน


เติมกาแฟก่อนเดินทางต่อ เพราะเป็นไฟลต์เช้า ราคาถูก ถึงสนามบินด้วยความง่วงสุด ๆ ตาแทบปิด

ฉันนั่งเหงื่อแตกในรถ เพราะความงก ไม่ยอมจ้างรถแท็กซี่ติดแอร์​ มิน่าลุงแขกส่ายหัว ตอนถามว่าจะเหมาแบบติดแอร์หรือไม่แอร์​ ตอบไปทันที ถึงแม้ราคาจะไม่ต่างกันมาก ไม่เอาแอร์จ้า เป็นไงหล่ะ กว่าจะมาถึงจุดหมาย หัวก็ฟู ฝุ่นก็เต็มฟันเลย เห็นรถบางคัน ก็ดับเครื่องนั่งกุมหัวกันให้ทั่ว บางคนก็ลงเเดินกันดื้อ ๆ โหย... ไอ้เราเห็นเดินกันให้ขวัก ก็นึกว่าจะถึงเมืองริชิเกษแล้ว จะชวนหนุ่มคนขับคุยด้วย นายจ๋าก็ดันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อีก เอาเป็นว่า นั่งนิ่ง ๆ ให้เหงื่อออกน้อยที่สุดดีกว่า


ระหว่างรอต่อเครื่อง ก็ดูเครื่องแต่งกายของสตรีอินเดียในชุดส่าหรี หลากหลายสีสัน เดินกันพริ้วเลย 



แล้วรถก็ค่อย ๆ ขยับไปทีละนิด ๆ จนผ่านช่วงที่รถติดมหาโหดออกมาได้ รถวิ่งฉิวไปสักระยะ ก็ติดอีกตรงหัวมุม คำถาม...​แล้วตำรวจจราจร หายไหน?​ คำตอบยังค้างคา นี่ซินะ เป็นเสน่ห์​ของการเดินทางมาอินเดีย ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงบนรถแท็กซี่ เอาเหอะ หนึ่งเป็นความผิดของฉันเองที่หาข้อมูลไม่มากพอ สองเลือกเดินทางตรงกับวันหยุด สามนั่งแท็กซี่ไม่ติดแอร์​!

ต่อเครื่องภายในประเทศ ไปยังแอร์พอร์ตที่ใกล้กับเมืองริชิเกษที่สุด นั่นคือ Dehradun Airport 
ละแล้วก็ถึงจุดหมายปลายทาง ถนนโดนกั้นด้วยเสาไม้ยาว ๆ ทางสีแดง แท็กซี่เรียกค่าเดินทางแล้วไล่ลงแบบไม่ใยดี ลากกระเป๋าใบอ้วนได้ กางแผนที่ออกดู เมืองนี้มีโรงเรียนโยคะมากมาย สมแล้วที่เมืองโยคะของโลก แล้วโรงเรียนที่จะไปมันอยู่ไหนหล่ะเนี้ย เดินลัดเลี้ยวตามตรอกไปเรื่อย ๆ อยู่ติดกับหัวสะพานแม่น้ำคงคา หันซ้ายไปหนึ่งแว่บ เจอฝรั่งนางหนึ่ง ลากกระเป๋าทุลักทุเลลงจากแท็กซี่ด้วยอาการโมโห สงสัยนางโดนแท็กซี่โกง หรืออะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้สนใจ รู้แต่นางมีทีท่าไม่พอใจอย่างหนัก เราก็ลากกระเป๋าเดินตาม เอ๊ะ... ชักเริ่มมีลางว่า นางคงมาเรียนคอร์สโยคะครูเช่นเดียวกัน แต่ในใจก็ไม่กล้าปักใจ เผลอไปทักเผื่อหน้าแตกกลับมา งั้นก็ตามนางไปเรื่อย ๆ


ถึงแล้วสนามบิน เค้าท์เตอร์ในสนามบิน มีระบบซื้อแท็กซี่ ง่ายดาย ไม่ต้องสื่อสารเองให้ปวดกะโหลก

ใช่ จริง ๆ ครับ มาโรงเรียนโยคะเดียวกัน เจอเพื่อนร่วมรุ่นแล้ว นางเป็นสาวอังกฤษ ชื่อโจ แต่ไปทำงานโรงแรมที่ออสเตรเลีย เพิ่งเดินทางมาถึงเวลาใกล้เคียงกับฉัน หลังจากเราสองคนนั่งรอลงทะเบียน หรืออะไรสักอย่าง ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็มีชายหัวโล้นตามมา นายนี้มาแบบเหงื่อท่วมตัวจริง ๆ ดีไม่หอบเอากลิ่นเต่ามาด้วย ไม่งั้นมีโกรธ หนุ่มแดนกระทิงดุรายนี้ ชื่อโฮเซ่ ออ... ก่อนคลาสโยคะจะอำลาลง ทั้งสองคนทั้งโฮเซ่ และโจ ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เป็นเรื่องที่สนุกดี ที่เหล่านักเรียนคอร์สโยคะครูสานสัมพันผูกมิตรกัน บางคนก็ได้แฟนจากคอร์สโยคะครู ก็หลายคู่ ยกตัวอย่างสาวไต้หวัน คาบหนุ่มสก็อตแลนด์ที่ฉันหมายตาไว้ ฮ่า ๆๆๆ มันสนุกก็ตรงนี้แหล่ะ


ระหว่างโดยสารแท็กซี่ ดีมีผ้าพันคอสารพัดประโยชน์ติดมาด้วย อาวุธสำคัญสำหรับผู้ที่จะมาอินเดียเลยนะนายจ๋า 

จากนั้นไม่นานก็มีหนุ่มน้อยวิ่งหน้าตาตื่นมา บอกว่ารถมอเตอร์ไซค์พร้อมแล้ว เราสามคนต่างมองหน้ากัน เอ๊ะ... ไม่ใช่ที่นี่หรอ?​ โรงเรียนที่เรียนต้องข้ามสะพานไปอีกฝั่ง ด้วยความที่เป็นผู้ชาย ฉันกับโฮเซ่ ขอสละให้โจ ไปกับมอเตอร์ไซค์​ ฉันก็จำใจลากกระเป๋าใบอ้วน เหงื่อแตกซ่ก ๆ ฝ่าฝูงชนปนฝูงวัว ลิงก็มากมายวิ่งหยอกกันบนสะพานแขวน เป็นภาพที่แปลกตาดี


โจ เพื่อนร่วมคลาสในครั้งนี้ เธอเป็นชาวออนเตรเลีย ถึงโรงเรียนเวลาไล่เลี่ยกัน 

โฮเซ่ ชาวสเปน ร่างกายกำยำ กล้ามเป็นมัด ๆ เดินทางมาคนเดียวเท่ห์ ๆ ในวันเดียวกันเช่นกัน 

ฉันโยนกระเป๋าแบ็คแพ็คลงกองกับพื้น ขอนั่งพักสักครู่เมื่อถึงออฟฟิศ มีครูโยคะสองคนหน้าตายิ้มแย้ม อายุอานามราว ๆ สี่สิบกว่า ๆ เดินมาทักทายและให้รายละเอียดที่พัก และตารางเวลาคร่าว ๆ
ครูโยคะยื่นกุญแจห้องให้ แล้วชี้บอกทาง พร้อมกำชับ ตอนเย็นจะมีอาหารมื้อค่ำไว้เลี้ยงต้อนรับ เป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก ตื่นเต้นแบบบอกไม่ถูก ที่จะได้เจอเพื่อนใหม่จากหลายชาติ



อาคารที่อยู่หน้าโรงเรียน เป็นเหมือนโบสถ์ น่าแปลกตรงที่วัวปีนบันไดอย่างอิสระ ขึ้นไปอยู่บนระเบียงโน้น 

พอตกเย็น โต๊ะยาวได้จัดเตรียมพร้อมไว้แล้ว และมีดวงไฟประดับสว่างทั่วบริเวณ​ นักเรียนคลาสโยคะทยอยมาเข้าคิวตักอาหารกัน ต่างกล่าวทักทายสวัสดีแต่พองาม อาหารที่นี่เป็นมังสวิรัส เน้นถั่วเป็นหลัก โจกับเพื่อนผู้หญิงบางกลุ่ม ออกไปหาอะไรกินกันข้างนอก อาจจะโดนขู่เอาไว้แล้วว่า อาหารที่นี่รสชาติอาจไม่ถูกปาก สำหรับผู้มาเยือนเป็นครั้งแรก


กลุ่มนักเรียนคลาสเดียวกัน 

เก้าอี้ถูกจับจอง แล้วโต๊ะยาวก็เต็มแน่นไปด้วยนักเรียนนานาชาติอย่างรวดเร็ว ทุกคนก็ลากลับไปพักผ่อน บางคนเพิ่งเดินทางมาถึง เนื้อตัวมอมแมมเชียว


โต๊ะอาหารข้างนอก ใต้ร่มไม้ และชาสมุนไพรร้อน วางเคียงจานอาหาร 

เช้าวันใหม่ เริ่มต้นคลาสด้วยพิธีกรรมบูชาไฟ มีกลุ่มนักบวชมาสวดให้พร และจัดเตรียมดอกไม้ เครื่องหอมต่าง ๆ แล้วผู้นำทำพิธีดังกล่าว เป็นผู้อำนวยการของโรงเรียน ห่มผ้าสีส้ม ๆ เดาเอาว่าเป็นนักบวชเช่นเดียวกัน ฉันนั่งจองด้านหน้าสุด และขอถ่ายวิดีโอและภาพนิ่งไว้ ในวันแรกฉันขอเป็นสาวบริสุทธิ์สักหน่อย มาในชุดสีขาว มวยผมยาวปักปิ่นขนเม่น ฉันนั่งไปก็ขนลุกไป เพราะพิธีกรรมที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก รู้สึกได้ถึงพลังของธาตุทั้งสี่ หมุนโคจรอยู่ภายในห้องเรียน


เห็นพ่อหนุ่มรูปหล่อชาวสก็อตช์ ยกมือสวัสดีไหม?​ คนนี้แหล่ะ ที่แอบมองตาแทบไม่กระพริบ 

หลังจากนั้นก็แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ ใคร มาจากไหน ทำอะไร และสมัครคลาสไหน ของฉันเรียน 200 ชั่วโมง บางคนลงเรียน 500 ชั่วโมง ต้องอยู่นานเกือบสองเดือนในอินเดีย พอพิธีกรรมจบลง ก็ลงไปทานอาหารมื้อกลางวันกัน


ซาร่า ชาวอเมริกัน ในอริยาบถอย่างตั้งใจในห้องเรียน 

ถึงได้รู้ว่าบางคนท้องไส้ปั่นป่วนเพราะอาหารมื้อค่ำเมื่อคืนนี้ แล้วทุกคนต่างก็ต่างมองหน้ากัน พร้อมฝืนใจตักอาหารเข้าปากแบบเจื่อน ๆ






กรุ๊ปกริ๊ปขมิบทอง 

Friday, January 15, 2016

ใบขับขี่ พี่ได้แต่ใดมา???



ลืมเกริ่นไปว่า สิ่งหนึ่งสำคัญกว่าอื่นใด หากยังไม่ได้ หมายเลขประกันสังคม คุณก็หมดสิทธิ์ในการขอรับบริการจากหน่วยงาน ทุกกรมกอง รวมทั้งภาคเอกชน เวลาจะสมัครงานครับ ตามเคยขอเก็บไว้มารีวิวให้ฟังอีกที สำหรับขั้นตอนการขอรับเลขหมายประกันสังคม (อย่าลืมทวง)


ใบขับขี่ระหว่างประเทศ ทำก่อนเดินทางมา ใช้ซะคุ้มค่าเลย 



แต่ขอโปรยหัวไว้ก่อนว่าหมายเลขประกันสังคมของที่นี่ มีทั้งหมด ๙ หลัก พลเมืองชาวเมกันทุกคนต้องมี และห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้เป็นอันขาด ด้วยความชาญฉลาดของคนไทยซะอย่าง ขอจดไว้หลังบัตรใบขับขี่เป็นเลขไทย ก็แล้วกัน ๑๒๓๔ ไม่มีฝรั่งคนไหนอ่านออกหรอกนะ


ได้มาแล้ว หลังจากสอบผ่านทุกขั้นตอน ดูเหมือนกระดาษ​แต่ใช้ได้จริง มีวันหมดอายุกำหนด ก่อนบัตรจริงจะส่งตรงถึงตู้จดหมายหน้าบ้าน 



ก่อนหน้าการสมัครสอบใบขับขี่ ใจกล้า ขับรถไปแวะที่สำนักงานขอใบอนุญาตเอง ก็คุณสามีเมื่อครั้งก่อนหน้า อาสาพาไป แต่เป็นสำนักงานที่รับต่อภาษี รับซื้อ ขาย เปลื่ยนมือ ขอป้ายทะเบียน ทำนองนั้น เพราะด้วยความรีบร้อย อยากได้ใบขับขี่มาก แต่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลดี รู้แต่ว่าอยู่ใกล้ซุปเปอร์มาร์เก็ตชื่อเฟร็ดมายเยอร์​ และเปิดบริการดึก รบกวนให้คุณสามีขับให้ ในใจคิดแล้ว ตะหงิด ๆ ว่าจะมีอะไรพลาดไปหรือปล่าว ต่อแถวรอคิวอย่างดี จนได้ใช้บริการ แหย่หลังคุณสามีถามนางให้หน่อย ปรากฏว่าสำนักงานนี้ “ไม่รับทำใบขับขี่ค่ะ”​ หงายเงิบไปหนึ่งดอก เจอดอกสองจากคุณสามี กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่เสร็จ สิ่งหนึ่งที่ผู้ให้บริการในเมกา เวลาที่ทำให้ผู้ซื้อ หรือผู้ขอใช้บริการ ผิดหวัง จะกล่าว “ขอโทษ”​ ด้วยตลอด ไม่ว่าจะเป็นความผิดของฝ่ายลูกค้าเอง ในกรณีนี้ ฉันเป็นฝ่ายผิดเข้าอย่างจัง หนึ่งไม่ได้หาข้อมูลให้แน่น สองจวนเวลาอาหารมื้อค่ำ ทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมประกอบอาหารดี และสาม ทุกทีไม่เห็นรีบร้อนจะดำเนินเรื่องอะไร แต่ทำไมกรณีใบขับขี่ อยากมีเร็วจัง

หลังจากทดสอบภาคถนน ดีใจมาก เพราะพลาดแค่ป้าย "หยุด"​ ไปแค่ป้ายเดียว ต้องสอบถึงสองครั้งเลยเชียว 




ก็แหม...​หมายเลขประกันสังคมใช้เวลาเกือบสองสัปดาห์ กว่าจะได้มา รอจนไม่ต้องทำมาหากินอะไร ได้มาปุ๊บก็อยากจะใช้บริการปั๊บ นั่นน่ะซิ แต่คุณสามีก็เหมือนจะคล้อยตาม ว่ามีสองออฟฟิศให้เลือก ตัวเองเป็นคนพูดเอง แล้วทีนี้ยังจะมาทำหน้างอนใส่อีก เช๊อะ พูดแล้วอยากจะเขกกระโหลกหลุน ๆ

ตัวอย่างหน้าตาบัตรโซเชียล ใบนี้สำคัญเท่าชีวิต และตัวเลขที่ระบุ จะอยู่ติดตัวประชากรอเมริกัน ทุกคนตลอดไป 




อีกไม่กี่วัน ขอฉายเดี่ยวไปอีกสำนักงานที่ตั้งอยู่บนคนละถนน ออกไปทำธุระซื้อของมาทำงานศิลปะด้วย เลยแวะไปติดต่อ เจ้าหน้าที่ขอหมายเลขคอนเฟิร์ม เมื่อคืนก่อนหน้านั่งกรอกเอกสารออนไลน์ที่บ้านไว้ก่อนแล้ว ได้หมายเลขลงทะเบียน ไปติดต่อที่สำนักงาน ก็ปริ้นท์เอกสาร พร้อมทั้งให้เราตรวจสอบความถูกต้อง รวดเร็วมาก และที่สำคัญ สำนักงานนี้ ไม่มีคิวเลยครับ ไปถึงปุ๊บ ทำทีเก้กังเล็กน้อย รอเจ้าหน้าที่เรียกแค่

แจ็ค ....​น้องหมา วัยสิบหก มานอนเฝ้าที่ห้องอ่านหนังสือชั้นสอง เพราะรู้ว่าจะเตรียมตัวสอบใบขับขี่ 




สำนักงานเป็นอาคารเดี่ยวชั้นเดียว อยู่ในโครงการของพลาซ่า เป็นย่านห้างร้านต่าง ๆ อยู่ติดกัน ด้านหลังของสำนักงานเป็นคลินิครักษาผู้ป่วย
เจ้าหน้าที่ผิวดำ เรียกไปนั่ง แล้วบอกให้รอเอกสารที่กำลังป้อนออกมาจากปริ้นเตอร์​ ข้อมูลที่ออกมา เป็นข้อมูลตามที่ฉันกรอกไปเมื่อคืน เป๊ะ...​ทั้งส่วนสูง (คะเนเอาคร่าว ๆ ใช้หน่วยวัดเป็นฟุต)​ สีตา กรอกไปว่าสีน้ำตาล ไอ้สองข้อนี้แหล่ะ ไม่มั่นใจ ถามคุณสามี ในข้อแรก น่าจะราว ๆ ๕ ฟุต กับ ๗ นิ้ว ...เออ กรอกตามนั้น แต่แอบเข้าเว็บเทียบหน่วย แล้วหล่ะ ต่อด้วยสีตา ตอนแรกกรอกเป็นสีดำ สามีแย้งนิด ๆ “จะสีดำได้ไง ฉันจ้องอยู่ มองยังไงก็สีน้ำตาล”​ แหม ๆ เล่นมาจ้องตากันใกล้ขนาดนี้ เจอกระโดดกัดหูไปหนึ่งที ดีไม่ใช่ปลากัด ไม่งั้นท้องป่องรอคลอดแล้วป่านนี้

ห้องอ่านหนังสืออีกมุม 




เชื่อคุณเธอสักหน่อย กรอกไปเป็นสีน้ำตาลครับ นั่งรอประมวลผลเอกสารสักพัก ต่อด้วยขั้นตอนของการตรวจวัดสายตา ตั้งอยู่ตรงหน้าเป็นเครื่องมือตรวจวัดสายตา สำหรับการสอบใบขับขี่โดยเฉพาะ หน้าตาเหมือนกระบอกกล้องส่องทางไกล ที่ให้บริการตามจุดท่องเที่ยว คุณดำบอกถ้าสวมแว่นตา ให้ใส่แว่นด้วย อันนี้ก็เช่นกัน รู้งี้ตอนไปทดสอบสายตา สวมคอนแทคเลนส์เสียจะดีกว่า เพราะในใบขับขี่ระบุไว้ ต้องสวมแว่นสายตาขับด้วย จะโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะเขาทำตามหน้าที่ เนื่องจากเรื่องจำพวกนี้ ทุกคนที่มีส่วน ค่อนข้างซีเรียสมาก มันเกี่ยวเนื่องกับความเป็นความตายของผู้คนสัญจรบนท้องถนน ฉันอาจแอบเคืองบ้างเล็กน้อย ณ​ จุด ๆ นั้น แต่พอหลัง ๆ เริ่มสำนึกขึ้นได้ มันจริงของเขา มันเมคเซนส์เอาเสียมาก ๆ ไม่มีอะไรจะสำคัญเท่าชีวิตนั่นเอง ให้ดูตัวอักษร ดูสัญญาณกระพริบ ไฟแดง ไฟเขียว ไฟอำพัน ถามสีที่เห็นในจอ “เสร็จขั้นตอนนี้แล้ว ยินดีด้วยครับ คุณผ่าน”​

บรรยากาศภายในอาคารโซเซียลซีเคียวริตี้ (Social Security Admistration Office) ในเมืองโอลิมเปีย 




จากนั้นคุณดำก้มจดอะไรสักอย่าง ยิก ๆ ลงบนเอกสาร แล้วยื่นให้ เป็นที่อยู่ของสถานที่สอบข้อเขียน หา???​ เกิดอาการงงเป็นไก่ตาแตก งงมาก นึกว่าจะเบ็ดเสร็จ ในสำนักงานนี้ อุตส่าห์เตรียมอ่านคู่มือสอบมาอย่างหนักหน่วง เข้าไปทดสอบทางออนไลน์ไม่รู้กี่รอบ สุดท้ายต้องส่งไปอีกที่ ดีหน่อยที่เป็นเมกา ขอใช้สิทธิ์ต่อว่านิดนึง “ฉันก็นึกว่าทำให้แล้วเสร็จเสียตรงนี้เลย”​ อุทานออกมาจนเจ้าหน้าที่ข้าง ๆ หันมามองหน้า

คนมาใช้บริการ ปั่นจักรยานมาทำธุระ น่ารักดี 




พูดอะไรไม่ออกครับ “งั้นขอได้โปรดวาดแผนที่ให้ฉันด้วย” ไหน ๆ ก็มาถึงจุดนี้แล้ว ทำให้เสร็จ ๆ ไปภายในวันเดียว ทั้งที่คุณดำ  ก็ให้ตัวเลือกมา ว่าถ้าไม่สะดวกก็ทำวันอื่นได้ ขอกัดฟันเล็กน้อย
“แล้วเสียค่าบริการที่นี่เท่าไหร่?”​ ในใจนึกแล้วว่าอย่างน้อยก็คงโดนชาร์ตค่าเดินเอกสาร แต่ผลไม่เป็นดังคาดครับ “ฟรี ไม่คิดจนกว่าจะสอบผ่าน ได้ใบขับขี่” คุณดำตอบ
ฉันเริ่มจิตใจเบิกบานขึ้นมาทันที จากที่หน้าตาหงุดหงิด พอได้ยินว่าฟรี กล่าวขอบคุณแล้วปัดตูดออกไป ยังสถานที่สอบข้อเขียน สถานที่สอบเป็นโรงเรียนสอนขับรถ ต้องขับรถวนหาอยู่สองรอบ ด้านหน้าบ้านเยิน ๆ ดูมอมแมม รก ๆ มีป้ายไม่ค่อยเป็นระเบียบ เขียนด้วยมือ บอกโรงเรียนสอนขับรถ และสอบข้อเขียน

ภาพด้านหน้าอาคาร มีเลขบอกที่อยู่เด่นหรา ชัดเจน เผื่อคนไม่เคยมา ก็ตามกูเกิลแมปมาเรื่อย ๆ 




เปิดประตูเข้าไป เป็นป้าอ้วน ๆ นั่งหน้าคอมพ์​ นางเปิดเพลงผ่านลำโพงได้ดังมาก “นี่มันใช่สถานที่สอบข้อเขียน จริงหรือนี่?​” คิดในใจ นางตัดบท กล่าวทักทาย เหมือนจะอ่านความคิดได้

ติวหนังสือ อ่านเตรียมพร้อมมาเต็มที่ 




ป้าอ้วน “ขอดูเอกสารค่ะ”​ นางเอ่ยถาม จากนั้นฉันก็ยื่นให้ แล้ว สักพักนางก็ยื่นข้อสอบภาษาอังกฤษพร้อมกระดาษมีช่อง ๆ เหมือนทำข้อสอบปลายภาคเมื่อสมัยเรียนมัธยมปลายมาให้ เวลาไม่มีกำหนด เสร็จเมื่อไหร่ให้บอกนาง ระหว่างนั้นก็มีคนเม็กซิกัน สองคนเดินเข้ามา

นี่คือด้านหน้าโรงเรียนสอนขับรถ สภาพค่อนข้างเยิน ๆ อยู่สักนิด เป็นสถานที่สอบข้อเขียน 




คนหนึ่งมาเป็นเพื่อน อีกคนเป็นผู้สมัครสอบ ขอข้อสอบภาษาสเปน คิดน้อยใจ ทำไมไม่มีภาษาไทยว่ะ แต่ก็ก้มหน้าทำต่อไป มีไม่มั่นใจอยู่สามข้อ พอทบทวน จนได้ที่ ฉันไม่รีรอ ยกมือบอกคุณป้าอ้วน “ฉันทำข้อสอบเสร็จแล้ว แต่ไม่มั่นใจอยู่สามข้อ ช่วยใบ้ให้หน่อย ฉันไม่เข้าใจภาษาอังกฤษคำนี้”​ ทำหน้าตาอ้อนวอน อ้างว่าเป็นคนต่างชาติ ไม่แตกฉานภาษาอังกฤษ​ ก็จริงอย่างนั้น คำถามงง ๆ นึกภาพไม่ออก

เป็นไงหล่ะ?​ สมกับที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือมาอย่างหนัก ผิดแค่ข้อเดียว ...​เย่ ๆ 




คุณป้านอกจากจะอ้วนแล้ว ยังใจดำอีก ส่ายหน้าอย่างเดียวเลย “ไม่ได้ เป็นกฎค่ะ”​ แต่นางก็แอบอธิบาย ทำมือไม้ให้เห็นภาพตาม ก็ขอบคุณนางแล้วกัน สุดท้าย ขอส่งข้อสอบเลยแล้วกัน
ลุ้นใหญ่เลยทีนี้ มือไม้เริ่มสั่น ตาเริ่มพร่ามัว ... เลือดลมนี่พุ่งพล่าน นางเหมือนจะอ่านใจออกรอบสอง เหมือนโดนแกล้งด้วยเบา ๆ ตรวจข้อสอบอย่างใจเย็น มิหนำซ้ำยังมีหน้ารับสายโทรศัพท์​ก่อนอีกด้วย

ตรงแยกไฟแดง โฮมเลสคนนี้นั่งกางร่มสีรุ้ง ท่ามกลางสายฝน เฮ้อ...​เราก็แอบผิด นิด ๆ ที่ถ่ายรูปเค้าเอาไว้ 




เริ่มใจอยู่กับเนื้อกับตัว ลุ้นจนตัวโก่งแล้ว วางสายสักทีคุณป้าอ้วน หลังจบบทสนทนา นางคว้าปากกาแดง ตั้งหน้าตั้งตาตรวจต่อ ข้อสอบมีทั้งหมด ๒๕ ข้อ กฎหมายระบุ ห้ามผิดเกิน ๕​ ข้อ...
ในที่สุด นางเขียนวงกลมแดง ในนั้นระบุคะแนน ตัวใหญ่เบ่อเริ่ม ผิดหนึ่งข้อ ฉันดีใจมาก เกือบกระโดดกอดหอมแก้มนาง “ต่อไปก็สอบภาคปฏิบัติบนท้องถนน แต่ทางเรามีตารางนัดแล้ว เป็นวันจันทร์หน้า”​

กับคุณสามี ไปซื้อของใช้มือสอง เข้าบ้าน หลังจากสอบใบขับขี่เสร็จได้ไม่นาน ฉลอง....กันสักหน่อย 




จากเมื่อกี้ดีใจออกนอกหน้า เปลี่ยนอารมณ์อีกหล่ะ ยังกะกิ้งก่าเปลี่ยนสี เลยฉัน...​ไม่รู้แล้วจ้า จึงออกปากถามนาง มีช่องทางไหนจะทำให้ได้เร็วที่สุด นางบอกในเมืองโอลิมเปีย ถัดไป มีโรงเรียนที่รับสอบขับขี่อยู่ ลองติดต่อดู จากนั้นนางก็ปริ้นท์เอกสาร ระบุคะแนนประเมินผลสอบภาคข้อเขียนมาให้
ฉันรับใบนั้นกลับบ้าน จ่ายค่าสอบข้อเขียน เดินคอตกแบบไร้วิญญาณ​
เห้อ...นึกว่าจะเสร็จสิ้น ภายในวันเดียว ที่เดียว นี่ต้องหอบร่าง ไปหาที่สอบใหม่อีกที่
ไว้มารีวิวให้ฟังอีกทีนะครับ สำหรับการสอบบนท้องถนน


สามเกลอ

98584-USA