Thursday, March 9, 2017

โรงเรียนเปิดแล้ว Nice to Know You!

เอกสารการเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน เงินสด และแพ็คเกตวีซ่าคู่หมั้นสหรัฐฯ​ รักษาเท่าชีวิต! 


กว่าจะเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทาง แท็กซี่ซิ่งมหาประลัย คิดในใจ กรูคิดถูกหรือผิดว่ะเนี้ย เอาชีวิตมาทิ้งกลางทางหรือป่าวก็ไม่รู้ เข้าโค้งที สาวพวงมาลัยยังกะถนนคุณเธอได้มาตรฐานระดับไอเอสโองั้น แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของการเช่าแท็กซี่คือ ไม่ต้องแชร์พื้นที่กับผู้โดยสารคนอื่น 
วิวเส้นทางจากสนามบินมาเมืองริชิเกษแปลกตาไม่น้อย ก็สวยงาม สองข้างทางด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์​ เป็นภูเขา และต้นไม้ลำธาร พอทำให้ผ่อนคลายลงได้บ้าง นั่งรถไปเรื่อย ๆ ผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ แล้วก็เข้าเขตเมืองริชิเกษ สิ่งหนึ่งที่บอกให้รู้ใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว นั่นคือ รถติดครับ 


ถึงสนามบินกรุงเดลี ขาเข้าระหว่างประเทศ มีการตกแต่งยิ่งใหญ่ เป็นเอกลักษณ์ดีทีเดียว 

ติดกันยาวเป็นกิโลเลย เมืองริชิเกษเป็นเมืองเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของอินเดีย เป็นช่วงลำดับต้น ๆ ของสายน้ำสำคัญทางจิตวิญญาณ นั่นคือแม่น้ำคงคา (Ganges River) รถติดทั้งขาเข้าและขาออก ถนนลาดยาง สองเลน ต่างไม่เอื้อน้ำใจให้กัน


เติมกาแฟก่อนเดินทางต่อ เพราะเป็นไฟลต์เช้า ราคาถูก ถึงสนามบินด้วยความง่วงสุด ๆ ตาแทบปิด

ฉันนั่งเหงื่อแตกในรถ เพราะความงก ไม่ยอมจ้างรถแท็กซี่ติดแอร์​ มิน่าลุงแขกส่ายหัว ตอนถามว่าจะเหมาแบบติดแอร์หรือไม่แอร์​ ตอบไปทันที ถึงแม้ราคาจะไม่ต่างกันมาก ไม่เอาแอร์จ้า เป็นไงหล่ะ กว่าจะมาถึงจุดหมาย หัวก็ฟู ฝุ่นก็เต็มฟันเลย เห็นรถบางคัน ก็ดับเครื่องนั่งกุมหัวกันให้ทั่ว บางคนก็ลงเเดินกันดื้อ ๆ โหย... ไอ้เราเห็นเดินกันให้ขวัก ก็นึกว่าจะถึงเมืองริชิเกษแล้ว จะชวนหนุ่มคนขับคุยด้วย นายจ๋าก็ดันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อีก เอาเป็นว่า นั่งนิ่ง ๆ ให้เหงื่อออกน้อยที่สุดดีกว่า


ระหว่างรอต่อเครื่อง ก็ดูเครื่องแต่งกายของสตรีอินเดียในชุดส่าหรี หลากหลายสีสัน เดินกันพริ้วเลย 



แล้วรถก็ค่อย ๆ ขยับไปทีละนิด ๆ จนผ่านช่วงที่รถติดมหาโหดออกมาได้ รถวิ่งฉิวไปสักระยะ ก็ติดอีกตรงหัวมุม คำถาม...​แล้วตำรวจจราจร หายไหน?​ คำตอบยังค้างคา นี่ซินะ เป็นเสน่ห์​ของการเดินทางมาอินเดีย ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงบนรถแท็กซี่ เอาเหอะ หนึ่งเป็นความผิดของฉันเองที่หาข้อมูลไม่มากพอ สองเลือกเดินทางตรงกับวันหยุด สามนั่งแท็กซี่ไม่ติดแอร์​!

ต่อเครื่องภายในประเทศ ไปยังแอร์พอร์ตที่ใกล้กับเมืองริชิเกษที่สุด นั่นคือ Dehradun Airport 
ละแล้วก็ถึงจุดหมายปลายทาง ถนนโดนกั้นด้วยเสาไม้ยาว ๆ ทางสีแดง แท็กซี่เรียกค่าเดินทางแล้วไล่ลงแบบไม่ใยดี ลากกระเป๋าใบอ้วนได้ กางแผนที่ออกดู เมืองนี้มีโรงเรียนโยคะมากมาย สมแล้วที่เมืองโยคะของโลก แล้วโรงเรียนที่จะไปมันอยู่ไหนหล่ะเนี้ย เดินลัดเลี้ยวตามตรอกไปเรื่อย ๆ อยู่ติดกับหัวสะพานแม่น้ำคงคา หันซ้ายไปหนึ่งแว่บ เจอฝรั่งนางหนึ่ง ลากกระเป๋าทุลักทุเลลงจากแท็กซี่ด้วยอาการโมโห สงสัยนางโดนแท็กซี่โกง หรืออะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้สนใจ รู้แต่นางมีทีท่าไม่พอใจอย่างหนัก เราก็ลากกระเป๋าเดินตาม เอ๊ะ... ชักเริ่มมีลางว่า นางคงมาเรียนคอร์สโยคะครูเช่นเดียวกัน แต่ในใจก็ไม่กล้าปักใจ เผลอไปทักเผื่อหน้าแตกกลับมา งั้นก็ตามนางไปเรื่อย ๆ


ถึงแล้วสนามบิน เค้าท์เตอร์ในสนามบิน มีระบบซื้อแท็กซี่ ง่ายดาย ไม่ต้องสื่อสารเองให้ปวดกะโหลก

ใช่ จริง ๆ ครับ มาโรงเรียนโยคะเดียวกัน เจอเพื่อนร่วมรุ่นแล้ว นางเป็นสาวอังกฤษ ชื่อโจ แต่ไปทำงานโรงแรมที่ออสเตรเลีย เพิ่งเดินทางมาถึงเวลาใกล้เคียงกับฉัน หลังจากเราสองคนนั่งรอลงทะเบียน หรืออะไรสักอย่าง ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็มีชายหัวโล้นตามมา นายนี้มาแบบเหงื่อท่วมตัวจริง ๆ ดีไม่หอบเอากลิ่นเต่ามาด้วย ไม่งั้นมีโกรธ หนุ่มแดนกระทิงดุรายนี้ ชื่อโฮเซ่ ออ... ก่อนคลาสโยคะจะอำลาลง ทั้งสองคนทั้งโฮเซ่ และโจ ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เป็นเรื่องที่สนุกดี ที่เหล่านักเรียนคอร์สโยคะครูสานสัมพันผูกมิตรกัน บางคนก็ได้แฟนจากคอร์สโยคะครู ก็หลายคู่ ยกตัวอย่างสาวไต้หวัน คาบหนุ่มสก็อตแลนด์ที่ฉันหมายตาไว้ ฮ่า ๆๆๆ มันสนุกก็ตรงนี้แหล่ะ


ระหว่างโดยสารแท็กซี่ ดีมีผ้าพันคอสารพัดประโยชน์ติดมาด้วย อาวุธสำคัญสำหรับผู้ที่จะมาอินเดียเลยนะนายจ๋า 

จากนั้นไม่นานก็มีหนุ่มน้อยวิ่งหน้าตาตื่นมา บอกว่ารถมอเตอร์ไซค์พร้อมแล้ว เราสามคนต่างมองหน้ากัน เอ๊ะ... ไม่ใช่ที่นี่หรอ?​ โรงเรียนที่เรียนต้องข้ามสะพานไปอีกฝั่ง ด้วยความที่เป็นผู้ชาย ฉันกับโฮเซ่ ขอสละให้โจ ไปกับมอเตอร์ไซค์​ ฉันก็จำใจลากกระเป๋าใบอ้วน เหงื่อแตกซ่ก ๆ ฝ่าฝูงชนปนฝูงวัว ลิงก็มากมายวิ่งหยอกกันบนสะพานแขวน เป็นภาพที่แปลกตาดี


โจ เพื่อนร่วมคลาสในครั้งนี้ เธอเป็นชาวออนเตรเลีย ถึงโรงเรียนเวลาไล่เลี่ยกัน 

โฮเซ่ ชาวสเปน ร่างกายกำยำ กล้ามเป็นมัด ๆ เดินทางมาคนเดียวเท่ห์ ๆ ในวันเดียวกันเช่นกัน 

ฉันโยนกระเป๋าแบ็คแพ็คลงกองกับพื้น ขอนั่งพักสักครู่เมื่อถึงออฟฟิศ มีครูโยคะสองคนหน้าตายิ้มแย้ม อายุอานามราว ๆ สี่สิบกว่า ๆ เดินมาทักทายและให้รายละเอียดที่พัก และตารางเวลาคร่าว ๆ
ครูโยคะยื่นกุญแจห้องให้ แล้วชี้บอกทาง พร้อมกำชับ ตอนเย็นจะมีอาหารมื้อค่ำไว้เลี้ยงต้อนรับ เป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก ตื่นเต้นแบบบอกไม่ถูก ที่จะได้เจอเพื่อนใหม่จากหลายชาติ



อาคารที่อยู่หน้าโรงเรียน เป็นเหมือนโบสถ์ น่าแปลกตรงที่วัวปีนบันไดอย่างอิสระ ขึ้นไปอยู่บนระเบียงโน้น 

พอตกเย็น โต๊ะยาวได้จัดเตรียมพร้อมไว้แล้ว และมีดวงไฟประดับสว่างทั่วบริเวณ​ นักเรียนคลาสโยคะทยอยมาเข้าคิวตักอาหารกัน ต่างกล่าวทักทายสวัสดีแต่พองาม อาหารที่นี่เป็นมังสวิรัส เน้นถั่วเป็นหลัก โจกับเพื่อนผู้หญิงบางกลุ่ม ออกไปหาอะไรกินกันข้างนอก อาจจะโดนขู่เอาไว้แล้วว่า อาหารที่นี่รสชาติอาจไม่ถูกปาก สำหรับผู้มาเยือนเป็นครั้งแรก


กลุ่มนักเรียนคลาสเดียวกัน 

เก้าอี้ถูกจับจอง แล้วโต๊ะยาวก็เต็มแน่นไปด้วยนักเรียนนานาชาติอย่างรวดเร็ว ทุกคนก็ลากลับไปพักผ่อน บางคนเพิ่งเดินทางมาถึง เนื้อตัวมอมแมมเชียว


โต๊ะอาหารข้างนอก ใต้ร่มไม้ และชาสมุนไพรร้อน วางเคียงจานอาหาร 

เช้าวันใหม่ เริ่มต้นคลาสด้วยพิธีกรรมบูชาไฟ มีกลุ่มนักบวชมาสวดให้พร และจัดเตรียมดอกไม้ เครื่องหอมต่าง ๆ แล้วผู้นำทำพิธีดังกล่าว เป็นผู้อำนวยการของโรงเรียน ห่มผ้าสีส้ม ๆ เดาเอาว่าเป็นนักบวชเช่นเดียวกัน ฉันนั่งจองด้านหน้าสุด และขอถ่ายวิดีโอและภาพนิ่งไว้ ในวันแรกฉันขอเป็นสาวบริสุทธิ์สักหน่อย มาในชุดสีขาว มวยผมยาวปักปิ่นขนเม่น ฉันนั่งไปก็ขนลุกไป เพราะพิธีกรรมที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก รู้สึกได้ถึงพลังของธาตุทั้งสี่ หมุนโคจรอยู่ภายในห้องเรียน


เห็นพ่อหนุ่มรูปหล่อชาวสก็อตช์ ยกมือสวัสดีไหม?​ คนนี้แหล่ะ ที่แอบมองตาแทบไม่กระพริบ 

หลังจากนั้นก็แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ ใคร มาจากไหน ทำอะไร และสมัครคลาสไหน ของฉันเรียน 200 ชั่วโมง บางคนลงเรียน 500 ชั่วโมง ต้องอยู่นานเกือบสองเดือนในอินเดีย พอพิธีกรรมจบลง ก็ลงไปทานอาหารมื้อกลางวันกัน


ซาร่า ชาวอเมริกัน ในอริยาบถอย่างตั้งใจในห้องเรียน 

ถึงได้รู้ว่าบางคนท้องไส้ปั่นป่วนเพราะอาหารมื้อค่ำเมื่อคืนนี้ แล้วทุกคนต่างก็ต่างมองหน้ากัน พร้อมฝืนใจตักอาหารเข้าปากแบบเจื่อน ๆ






กรุ๊ปกริ๊ปขมิบทอง 

No comments:

Post a Comment