 |
| เอกสารการเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน เงินสด และแพ็คเกตวีซ่าคู่หมั้นสหรัฐฯ รักษาเท่าชีวิต! |
กว่าจะเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทาง
แท็กซี่ซิ่งมหาประลัย คิดในใจ กรูคิดถูกหรือผิดว่ะเนี้ย
เอาชีวิตมาทิ้งกลางทางหรือป่าวก็ไม่รู้ เข้าโค้งที
สาวพวงมาลัยยังกะถนนคุณเธอได้มาตรฐานระดับไอเอสโองั้น
แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของการเช่าแท็กซี่คือ ไม่ต้องแชร์พื้นที่กับผู้โดยสารคนอื่น
วิวเส้นทางจากสนามบินมาเมืองริชิเกษแปลกตาไม่น้อย
ก็สวยงาม สองข้างทางด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นภูเขา และต้นไม้ลำธาร
พอทำให้ผ่อนคลายลงได้บ้าง นั่งรถไปเรื่อย ๆ ผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ
แล้วก็เข้าเขตเมืองริชิเกษ สิ่งหนึ่งที่บอกให้รู้ใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
นั่นคือ รถติดครับ
 |
| ถึงสนามบินกรุงเดลี ขาเข้าระหว่างประเทศ มีการตกแต่งยิ่งใหญ่ เป็นเอกลักษณ์ดีทีเดียว |
ติดกันยาวเป็นกิโลเลย เมืองริชิเกษเป็นเมืองเล็ก ๆ
ทางตอนเหนือของอินเดีย เป็นช่วงลำดับต้น ๆ ของสายน้ำสำคัญทางจิตวิญญาณ
นั่นคือแม่น้ำคงคา (Ganges River)
รถติดทั้งขาเข้าและขาออก ถนนลาดยาง สองเลน ต่างไม่เอื้อน้ำใจให้กัน
 |
| เติมกาแฟก่อนเดินทางต่อ เพราะเป็นไฟลต์เช้า ราคาถูก ถึงสนามบินด้วยความง่วงสุด ๆ ตาแทบปิด |
ฉันนั่งเหงื่อแตกในรถ เพราะความงก
ไม่ยอมจ้างรถแท็กซี่ติดแอร์ มิน่าลุงแขกส่ายหัว
ตอนถามว่าจะเหมาแบบติดแอร์หรือไม่แอร์ ตอบไปทันที ถึงแม้ราคาจะไม่ต่างกันมาก
ไม่เอาแอร์จ้า เป็นไงหล่ะ กว่าจะมาถึงจุดหมาย หัวก็ฟู ฝุ่นก็เต็มฟันเลย
เห็นรถบางคัน ก็ดับเครื่องนั่งกุมหัวกันให้ทั่ว บางคนก็ลงเเดินกันดื้อ ๆ โหย...
ไอ้เราเห็นเดินกันให้ขวัก ก็นึกว่าจะถึงเมืองริชิเกษแล้ว จะชวนหนุ่มคนขับคุยด้วย นายจ๋าก็ดันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อีก
เอาเป็นว่า นั่งนิ่ง ๆ ให้เหงื่อออกน้อยที่สุดดีกว่า
 |
| ระหว่างรอต่อเครื่อง ก็ดูเครื่องแต่งกายของสตรีอินเดียในชุดส่าหรี หลากหลายสีสัน เดินกันพริ้วเลย |
แล้วรถก็ค่อย ๆ ขยับไปทีละนิด ๆ
จนผ่านช่วงที่รถติดมหาโหดออกมาได้ รถวิ่งฉิวไปสักระยะ ก็ติดอีกตรงหัวมุม
คำถาม...แล้วตำรวจจราจร หายไหน? คำตอบยังค้างคา นี่ซินะ เป็นเสน่ห์ของการเดินทางมาอินเดีย
ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงบนรถแท็กซี่ เอาเหอะ
หนึ่งเป็นความผิดของฉันเองที่หาข้อมูลไม่มากพอ สองเลือกเดินทางตรงกับวันหยุด
สามนั่งแท็กซี่ไม่ติดแอร์!
 |
| ต่อเครื่องภายในประเทศ ไปยังแอร์พอร์ตที่ใกล้กับเมืองริชิเกษที่สุด นั่นคือ Dehradun Airport |
ละแล้วก็ถึงจุดหมายปลายทาง ถนนโดนกั้นด้วยเสาไม้ยาว
ๆ ทางสีแดง แท็กซี่เรียกค่าเดินทางแล้วไล่ลงแบบไม่ใยดี ลากกระเป๋าใบอ้วนได้ กางแผนที่ออกดู
เมืองนี้มีโรงเรียนโยคะมากมาย สมแล้วที่เมืองโยคะของโลก
แล้วโรงเรียนที่จะไปมันอยู่ไหนหล่ะเนี้ย เดินลัดเลี้ยวตามตรอกไปเรื่อย ๆ
อยู่ติดกับหัวสะพานแม่น้ำคงคา หันซ้ายไปหนึ่งแว่บ เจอฝรั่งนางหนึ่ง
ลากกระเป๋าทุลักทุเลลงจากแท็กซี่ด้วยอาการโมโห สงสัยนางโดนแท็กซี่โกง
หรืออะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้สนใจ รู้แต่นางมีทีท่าไม่พอใจอย่างหนัก
เราก็ลากกระเป๋าเดินตาม เอ๊ะ... ชักเริ่มมีลางว่า
นางคงมาเรียนคอร์สโยคะครูเช่นเดียวกัน แต่ในใจก็ไม่กล้าปักใจ
เผลอไปทักเผื่อหน้าแตกกลับมา งั้นก็ตามนางไปเรื่อย ๆ
 |
| ถึงแล้วสนามบิน เค้าท์เตอร์ในสนามบิน มีระบบซื้อแท็กซี่ ง่ายดาย ไม่ต้องสื่อสารเองให้ปวดกะโหลก |
ใช่ จริง ๆ ครับ มาโรงเรียนโยคะเดียวกัน
เจอเพื่อนร่วมรุ่นแล้ว นางเป็นสาวอังกฤษ ชื่อโจ แต่ไปทำงานโรงแรมที่ออสเตรเลีย
เพิ่งเดินทางมาถึงเวลาใกล้เคียงกับฉัน หลังจากเราสองคนนั่งรอลงทะเบียน หรืออะไรสักอย่าง
ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็มีชายหัวโล้นตามมา นายนี้มาแบบเหงื่อท่วมตัวจริง ๆ
ดีไม่หอบเอากลิ่นเต่ามาด้วย ไม่งั้นมีโกรธ หนุ่มแดนกระทิงดุรายนี้ ชื่อโฮเซ่ ออ...
ก่อนคลาสโยคะจะอำลาลง ทั้งสองคนทั้งโฮเซ่ และโจ ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
เป็นเรื่องที่สนุกดี ที่เหล่านักเรียนคอร์สโยคะครูสานสัมพันผูกมิตรกัน
บางคนก็ได้แฟนจากคอร์สโยคะครู ก็หลายคู่ ยกตัวอย่างสาวไต้หวัน
คาบหนุ่มสก็อตแลนด์ที่ฉันหมายตาไว้ ฮ่า ๆๆๆ มันสนุกก็ตรงนี้แหล่ะ
 |
| ระหว่างโดยสารแท็กซี่ ดีมีผ้าพันคอสารพัดประโยชน์ติดมาด้วย อาวุธสำคัญสำหรับผู้ที่จะมาอินเดียเลยนะนายจ๋า |
จากนั้นไม่นานก็มีหนุ่มน้อยวิ่งหน้าตาตื่นมา
บอกว่ารถมอเตอร์ไซค์พร้อมแล้ว เราสามคนต่างมองหน้ากัน เอ๊ะ... ไม่ใช่ที่นี่หรอ?
โรงเรียนที่เรียนต้องข้ามสะพานไปอีกฝั่ง ด้วยความที่เป็นผู้ชาย ฉันกับโฮเซ่
ขอสละให้โจ ไปกับมอเตอร์ไซค์ ฉันก็จำใจลากกระเป๋าใบอ้วน เหงื่อแตกซ่ก ๆ
ฝ่าฝูงชนปนฝูงวัว ลิงก็มากมายวิ่งหยอกกันบนสะพานแขวน เป็นภาพที่แปลกตาดี
 |
| โจ เพื่อนร่วมคลาสในครั้งนี้ เธอเป็นชาวออนเตรเลีย ถึงโรงเรียนเวลาไล่เลี่ยกัน |
 |
| โฮเซ่ ชาวสเปน ร่างกายกำยำ กล้ามเป็นมัด ๆ เดินทางมาคนเดียวเท่ห์ ๆ ในวันเดียวกันเช่นกัน |
ฉันโยนกระเป๋าแบ็คแพ็คลงกองกับพื้น
ขอนั่งพักสักครู่เมื่อถึงออฟฟิศ มีครูโยคะสองคนหน้าตายิ้มแย้ม อายุอานามราว ๆ
สี่สิบกว่า ๆ เดินมาทักทายและให้รายละเอียดที่พัก และตารางเวลาคร่าว ๆ
ครูโยคะยื่นกุญแจห้องให้ แล้วชี้บอกทาง
พร้อมกำชับ ตอนเย็นจะมีอาหารมื้อค่ำไว้เลี้ยงต้อนรับ เป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก
ตื่นเต้นแบบบอกไม่ถูก ที่จะได้เจอเพื่อนใหม่จากหลายชาติ
 |
| อาคารที่อยู่หน้าโรงเรียน เป็นเหมือนโบสถ์ น่าแปลกตรงที่วัวปีนบันไดอย่างอิสระ ขึ้นไปอยู่บนระเบียงโน้น |
พอตกเย็น โต๊ะยาวได้จัดเตรียมพร้อมไว้แล้ว
และมีดวงไฟประดับสว่างทั่วบริเวณ นักเรียนคลาสโยคะทยอยมาเข้าคิวตักอาหารกัน ต่างกล่าวทักทายสวัสดีแต่พองาม
อาหารที่นี่เป็นมังสวิรัส เน้นถั่วเป็นหลัก โจกับเพื่อนผู้หญิงบางกลุ่ม
ออกไปหาอะไรกินกันข้างนอก อาจจะโดนขู่เอาไว้แล้วว่า อาหารที่นี่รสชาติอาจไม่ถูกปาก
สำหรับผู้มาเยือนเป็นครั้งแรก
 |
| กลุ่มนักเรียนคลาสเดียวกัน |
เก้าอี้ถูกจับจอง
แล้วโต๊ะยาวก็เต็มแน่นไปด้วยนักเรียนนานาชาติอย่างรวดเร็ว ทุกคนก็ลากลับไปพักผ่อน บางคนเพิ่งเดินทางมาถึง
เนื้อตัวมอมแมมเชียว
 |
| โต๊ะอาหารข้างนอก ใต้ร่มไม้ และชาสมุนไพรร้อน วางเคียงจานอาหาร |
เช้าวันใหม่ เริ่มต้นคลาสด้วยพิธีกรรมบูชาไฟ
มีกลุ่มนักบวชมาสวดให้พร และจัดเตรียมดอกไม้ เครื่องหอมต่าง ๆ
แล้วผู้นำทำพิธีดังกล่าว เป็นผู้อำนวยการของโรงเรียน ห่มผ้าสีส้ม ๆ
เดาเอาว่าเป็นนักบวชเช่นเดียวกัน ฉันนั่งจองด้านหน้าสุด
และขอถ่ายวิดีโอและภาพนิ่งไว้ ในวันแรกฉันขอเป็นสาวบริสุทธิ์สักหน่อย มาในชุดสีขาว
มวยผมยาวปักปิ่นขนเม่น ฉันนั่งไปก็ขนลุกไป เพราะพิธีกรรมที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
รู้สึกได้ถึงพลังของธาตุทั้งสี่ หมุนโคจรอยู่ภายในห้องเรียน
 |
| เห็นพ่อหนุ่มรูปหล่อชาวสก็อตช์ ยกมือสวัสดีไหม? คนนี้แหล่ะ ที่แอบมองตาแทบไม่กระพริบ |
หลังจากนั้นก็แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ
ใคร มาจากไหน ทำอะไร และสมัครคลาสไหน ของฉันเรียน 200
ชั่วโมง บางคนลงเรียน 500
ชั่วโมง ต้องอยู่นานเกือบสองเดือนในอินเดีย
พอพิธีกรรมจบลง ก็ลงไปทานอาหารมื้อกลางวันกัน
 |
| ซาร่า ชาวอเมริกัน ในอริยาบถอย่างตั้งใจในห้องเรียน |
ถึงได้รู้ว่าบางคนท้องไส้ปั่นป่วนเพราะอาหารมื้อค่ำเมื่อคืนนี้
แล้วทุกคนต่างก็ต่างมองหน้ากัน พร้อมฝืนใจตักอาหารเข้าปากแบบเจื่อน ๆ
กรุ๊ปกริ๊ปขมิบทอง
No comments:
Post a Comment