Saturday, May 24, 2014

พ่อไปรสนียบุรุษย์ของฉัน


หลังจากเสร็จโปรเจ็คเย็บปักแผงคอเป็นที่เรียบร้อย อีกไม่กี่วันต่อจากนี้ จะเป็นการออกเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองกรุง
-ประเดิมด้วยที่แรก-
เรื่่องของเรื่องคือ ไปเดินงานเที่ยวไทยที่ศูนย์สิริกิติ์ฯ มา กะจะไปชิลล์ติดเกาะกันสักเกาะกับน้องสาว แต่ติดขัดหลายปัจจัย เลยไม่จัดกันหล่ะ เดินผ่านโซนแหล่งท่องเที่ยว สมาคมพิพิธภัณฑ์กว่า 20 แห่งในกรุงเทพฯ จับมือกันทำกิจกรรม ฉวยมาได้หนึ่งเล่มกับพาสปอร์ตเที่ยวพิพิธภัณฑ์ เห็นว่าคุ้มดี
วันนี้ไปทำธุระแถบจตุจักร เลยแวะดูแสตมป์ ประเดิมเป็นพิพิธภัณฑ์แรกของโปรเจ็คนี้เลยดีกว่า
นอกจากจะได้เห็นแสตมป์มากมายจากทั้งไทย และต่างประเทศ ได้ไอเดียต่าง ๆ จากความพยายามจะนำเสนอเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ
ประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า มีการใช้แสตมป์มานานแล้วกว่าร้อยปี แรกเริ่มเดิมที ใช้เฉพาะในกงสุลอังกฤษในประเทศสยาม ต่อมา ในรัชกาลที่ 5 เห็นว่าควรจัดตั้งให้เป็นกิจลักษณะ ซึ่งได้รับความนิยม มีประชาชนมาใช้บริการมากเกินคลาด จึงมีการขยายงานไปรษณีย์เรื่อยมา
ในแสตมป์ไทย มีเรื่องราวต่าง ๆ สัตว์ประจำชาติ ดอกไม้ ต้นไม้ งานศิลปะ วัฒนธรรม รวมถึงเหตุการณ์สำคัญ ๆ ต่าง ๆ นับเป็นสื่อบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของชาติอย่างดี
มีภาพเก่ารูปหนึ่งในนิทรรศการ ชายในเครื่องแบบ ยืนเท้าแขน สะดุดตาฉันเสียเหลือเกิน
แหม...ถ้าฉันเกิดในสมัยนั้น คงเรียกใช้บริการ พ่อ 'ไปรสนียบุรุษย์' อยู่บ่อย ๆ นำโปสการ์ดส่งให้คนที่ฉันรัก วันละสองสามฉบับ


สามเกลอ

มองโลกมุมไหน???



มองโลกมุมไหน??? 

ภาพข้างบน ถ่ายไว้ตอนระหว่างนั่งรถเบาะหลัง มือเกี่ยวราวเหล็กกันตกไว้แน่น ฉันไม่ค่อยใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์บ่อยหนัก เนื่องจากไม่มั่นใจฝีมือการบิดรถและกลิ่นเปรี้ยวของคนขับระคายนาสิกประสาทเป็นยิ่งนัก หลังจากยืนรอรถสองแถวอยู่เป็นระยะเวลานาน อากาศก็แสนร้อน ตัดสินใจใช้บริการวินมอไซค์เลยแล้วกัน แค่หน้าปากซอยคงไม่ดวงซวย
โดดเกาะขึ้นรถได้ โอ้โห...ลูกพี่ กลิ่นสาบเสื้อวินติดเบอร์พี่นี่ กลิ่นแรงเอาการ แถมมีรอยขาดวิ่นบนไหล่ขวาเสียด้วยซี เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน รอยขาดวิ่นนั่นมันสอนแง่คิดอะไรของฉันในวันนี้บ้าง? รอยหยักในสมองเริ่มทำงาน หนึ่ง สอง สาม สี่ คาดเดาภาพเบื้องหลังในครอบครัวของพี่วินคนนี้ พยายามจะนึกให้เห็นภาพความรันทดสุด ๆ ของชีวิตในตรอกเล็ก ๆ วันทั้งวัน ต่อคิว บิดมอไซค์ ใช้เวลาตลอดทั้งวันดักผู้โดยสารหน้าปากซอย และบิดคันเร่งซอกแซกบนท้องถนน
มัวคิดไปเพลิน ๆ อื้อหือพี่ เม็ดรังแคขาว ๆ บินเข้าเต็มปากฉันหมดเลย ต้องกลั้นลมหายใจเป็นระยะ กว่าจะถึงหน้าปากซอยเล่นเอาหายใจไม่ทั่วท้องไปเลย สนนราคาแค่ 10 บาท มันอาจเป็นเงินจำนวนน้อยนิดของใครบางคน แต่สำหรับวินมอไซค์ต้องเก็บแต่ละเหรียญที่ได้รับไว้ในกระเป๋าอย่างดี กว่าจะได้ทีละร้อย ต้องขับกี่เที่ยว ไหนจะค่ามอเตอร์ไซค์ ค่าน้ำมูกน้ำมัน ค่าอาหาร ฯลฯ
“คนเหล่านี้ต้องเป็นคนใส่ใจรายละเอียดดีแน่เลย” กว่าพี่วินจะเก็บตังค์ได้ในแต่ละวันเพื่อให้ครอบคลุมค่าครองชีพในแต่ละเดือน เขาต้องไม่ยอมปล่อยให้เงินแต่ละสิบบาทที่ได้รับทุกเที่ยวหล่นหายไปไหนเป็นแน่ หน้าปากซอยมีวินหลายคัน แต่ละวันจะมีคนใช้บริการสักกี่ราย บวกลบคูณหารเล่นคร่าว ๆ ระหว่างนั่งเกาะเป็นลิงยักษ์หลังเบาะ ไหนสายตาจะต้องดีอีกด้วย คอยระแวดระวังไม่ให้รถคันอื่นชนเอาได้
แล้วอะไรเป็นแรงผลักดันให้พี่วินเหล่านี้ออกมาขับมอเตอร์ไซค์ เขาไม่มีทางเลือกอื่น? หรือว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพในฝันของเขาเหล่านั้น? ฉันไม่รู้คำตอบหรอก เพราะไม่ได้สัมภาษณ์เอาข้อมูล กลายเป็นว่าต้องปล่อยให้เดากันเอาเอง
ไม่แน่เขาอาจจะมีความสุขก็ได้
ความสุขของเขาอยู่ที่ไหนกันนะ เดาเอาว่า การนำคนไปส่งหน้าปากซอย ได้เจอมากหน้าหลายตา คนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน คนที่ต้องการความช่วยเหลือ เพิ่มตัวเลือกให้การเดินทาง ซิ่งไปต่อรถโดยสารเข้าที่ทำงานไม่สายจนเกินงาม
หรือเขาอาจจะชอบให้อวัยวะบางส่วนของผู้โดยสารสัมผัสตอนเบรคแรง
“โอ้ยพี่ ข้างหน้าเป็นเนินถนนก็ไม่ต้องซิ่งก็ได้” ฉันแอบโวยวายในใจดัง ๆ วีนให้กับลีลาการแตะเบรค จนทั้งตัว ไถลติดกันเป็นปลาท่องโก๋เลย วิดวิ๊วววว

Wednesday, May 21, 2014

กรุ่นกลิ่นอินเดีย ในพาหุรัด



กรุ่นกลิ่นอินเดีย ในพาหุรัด 


ฉันก้าวเท้าลงจากรถเมล์สายบริการประชาชนตามนโยบายภาครัฐ ต้องขอขอบคุณอย่างเป็นทางการสำหรับการสนับสนุนการเดินทางในทริปนี้...ปรบมือ ฮ่าฮ่า ช่วงแรกยังไม่ค่อยได้กลิ่นสัมผัสความเป็นอินเดียเท่าใดนัก มีก็เพียงชายแก่ขนเคราดกขาว ใส่ชุดนอนยาวสีขาวกรอมศอก เดินพ่นควันบุหรี่ส่งกลิ่นฉุน ๆ แปลกพิลึก
ภารกิจวันนั้นคือซื้ออุปกรณ์ทำงานปัก ต้องใช้ดิ้นเงินแบบข้อ ตอนแรกไม่แน่ใจว่าต้องหาซื้อที่ไหน แต่คาดว่าที่พาหุรัดจะตอบโจทย์ในการหาอุปกรณ์งานผ้าได้ครบ หลังจากแทรกตัวเข้าตรอกเล็ก ๆ ด้านหลังตึกอาคารพานิชย์ ย่านนี้เองเรียกกันติดปากว่า “ตรอกแขก” กลิ่นน้ำคล่ำดำ ๆ เหม็นเน่า เคล้ากลิ่นเครื่องเทศโชยเตะจมูกเข้าอย่างจัง โอ้ว...ถึงแล้ว ลิตเติ้ลอินเดีย
ย่านชุมชนชาวอินเดียในตรอกแขกนี้ คนอินเดียจากหลายภาคได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาหลายชั่วอายุคน ลูกหลานบางคนพูดภาษาไทยคล่องปรื๋อ แต่บางคนก็พูดไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ ครั้งที่ผู้เขียนยังไม่เคยย่างกรายเข้าประเทศอินเดีย ก็แอบคิดว่าในใจว่าผู้คนในย่านนี้ทนอยู่กับสภาพแวดล้อมแย่ ๆ อย่างนี้ได้เช่นไร??? แต่เมื่อได้ไปยังประเทศแม่ ดินแดนอู่อารยธรรมโลก จะพบว่าความจริงนั้นแย่กว่าที่เห็น กลิ่นเหม็นกว่าชุมชนตรอกแขก กว่าหลายเท่า
การย้ายที่พำนักจากถิ่นแดนภารตะมานั้น ชาวอินเดียไม่ได้นำแค่ผ้าเป็นพับ ๆ ติดมาขายด้วย แต่ยังอุตส่าห์จำลองกลิ่นต่าง ๆ ในอินเดียมาด้วย เหอะ ๆ (อันนี้ผู้เขียนหยอกล้อเจ็บ ๆ หรอกนะ) การจากมาส่วนใหญ่คือการมาทำการค้าขาย เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง บางคนเพิ่งเดินทางมาขายของได้ไม่นาน สังเกตจากสำเนียงไทยทะแม่งหู หน้าตาของชาวอินเดียด้วยลักษณะโครงหน้า สีผิว บวกกับการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้แยกชัดจากคนในท้องถิ่นได้ไม่ยากเลย
ในตรอกแคบ ๆ แห่งนี้มีร้านอาหารอินเดียให้เลือกชิมสองสามร้าน บางร้านมีขนมหวานแบบอินเดียของแท้จัดใส่ตู้กระจกโชว์ให้ลิ้มรสตามใจชอบ ทำให้นึกเล่น ๆ ในใจ จะมีสักกี่คนที่ทำขนมหวานได้ครบเกือบทุกชนิดอย่างนี้ น่าทึ่ง คงจะเหมือนกับคนไทยที่ก่อนจะย้ายภูมิลำเนาไปยังประเทศอื่น ผู้คนเหล่านั้นคงต้องนำวิชาการทำอาหารติดตัวไปด้วย เพราะนี่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ แต่ใครเล่าจะเป็นลูกค้า? นอกจากคนที่อยากทดลองอาหารแปลกใหม่ ใช่แล้ว... ก็ขายให้กันเองไง
หากใครไม่สะดวกแวะร้านอาหารในตรอกแคบจะเลือกขึ้นไปบนห้าง ใกล้กันบนชั้น 4 มีอาหารอินเดียให้เลือกสองสามร้าน แล้วแต่ผู้อ่านว่าอยากจะทดสอบความอร่อยในแบบฉบับอินเดียจากภาคไหน ถ้าจะกล่าวไปแล้ว ผู้ที่เลือกขายอาหารประจำชาติของตนต้องคลุกคลีกับพ่อแม่ตายายฝึกปรือการทำอาหารมาเป็นอย่างดี ถึงจะมั่นใจเปิดร้านอาหารให้คนอื่นได้ซื้อกิน
ถ้าไม่นับรวมชาวอินเดียที่อยู่กันเป็นส่วนน้อยของชุมชนบนถนนพาหุรัดแล้ว จะมีคนไทยสักกี่คนที่ถูกปากกับอาหารอินเดียเท่าอาหารไทย ในคอนเซ็ปต์ที่เหมือนกัน หากคนไทยไกลแดนบางกลุ่มไปอยู่ยังสหรัฐอเมริกา อาหารไทยก็คงเป็นที่ต้องการของต่อมประสาทลิ้นของกลุ่มคนไทยกันเอง ซินะ
ว่าแล้วผู้เขียนขอตัวไปลงเรียนคอร์สอาหารไทยแก้เลี่ยนแกงกะหรี่ไว้ก่อนดีกว่านะ บ๊ายยย

Saturday, May 17, 2014

ผสานก้าวยิ่งใหญ่ ของศิลปินแห่งชาติ



ผสานก้าวยิ่งใหญ่ ของศิลปินแห่งชาติ 


ผู้เขียนขอยกบางย่อหน้าจากงานเขียนของประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณกรรม
 “การก้าวหน้าหรือล้าหลัง มันอยู่ที่จิตใจมากกว่าวัตถุ อยู่ที่ความคิดของเรามากกว่าสิ่งที่เราเห็นด้วยสายตา ผมเชื่อว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เป็นความปรารถนาของมนุษย์ทุกคนก็คือความสงบสุข ต่อให้ก้าวไปไกลแค่ไหน ในที่สุดก็จะต้องหวนกลับมาสู่งสิ่งที่เป็นความจริงแท้ของชีวิต และสิ่งที่เป็นธรรมชาติซึ่งไม่ถูกตกแต่งบิดเบือนไป” ย่อหน้าที่ 6 หน้า 74 จากนวนิยายเรื่อง ลานมยุเรศ (พิมพ์ครั้งที่ 5, 2557) 
ข้างต้นเป็นเพียงบางย่อหน้าที่ผู้เขียนชื่นชอบและพอเดาได้ว่าชายผู้นี้มีวิธีการมองโลกที่หยั่งลึกถึงรากเหง้าแห่งประวัติศาสตร์ จากการสั่งสมประสบการณ์ จากการเดินทางหลายต่อหลายประเทศทั่วโลกในฐานะนักการทูต กระบวนทัศน์เพื่อมองโลกและความเชื่อของตัวศิลปินได้รับการบ่มเพาะจากแหล่งอารยธรรมโลกหลายแห่ง และสุดท้ายแล้วมันได้หล่อหลอมมุมมองจากโลกกว้างสู่โลกวรรณกรรมผ่านตัวอักษรของชายแก่ผู้นี้
หนทางแห่งการเป็นศิลปินแห่งชาตินั้น ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด มันทั้งต้องใช้ระยะเวลาและความเพียรพยายาม เรียงร้อยตัวอักษรแต่ละตัวเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ถักทอเหตุการณ์ให้เกิดเป็นเรื่องราว ทั้งยังต้องสะท้อนค่านิยมอะไรบางอย่าง เพื่อบอกต่อแก่ผู้อ่านและสังคมให้เกิดการตระหนัก สู่การเปลี่ยนแปลงต่อไป
หนังสือนวนิยายเรื่อง ลานมยุเรศ นี้เป็นหนังสือที่ตัวฉันได้ขึ้นไปร่วมกิจกรรมตอบคำถามบนเวทีชิงมันมาพร้อมลายเซ็นต์ของนักเขียน จนชนะคว้ามาอ่านได้ในที่สุด อยากจะบอกว่าใช้เวลาเพียงหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันเท่านั้น อ่านจบตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้าย เนื้อหาในหนังสือฉันไม่ขอวิจารณ์ ด้วยประหนึ่งว่าเปรียบงานเขียนชิ้นนี้เป็นผลงานทางศิลปะ สำหรับให้ผู้รับสารแต่ละคนใช้ความเป็นปัจเจกตีความแห่งสุนทรียภาพด้วยตัวเอง บางคนอาจจะแค่ชอบแค่ครึ่งหนึ่งของหนังสือเหมือนฉันก็เป็นได้...อุ๊ปส์
ด้วยความหนากว่า 360 หน้ากระดาษ อะไรเล่าเป็นแรงกระตุ้นมหาศาลให้ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้จบภายในระยะเวลาไม่นาน คงเป็นเพราะความประทับใจต่อตัวศิลปินนักเขียนที่จรดลายเซ็นต์ บรรจงจารึกอักขระ ส่งความปรารถนาดีพร้อมระบุชื่อฉันผ่านปลายปากกาหมึกซึมสีน้ำเงิน ฉันจ้องมองนักเขียนด้วยความเลื่อมใส ภาพตรงหน้าคือท่านบรรจงจรดปลายปากกา โค้งแนวกระดูกสันหลังอันแก่งอม ก้มมองร่องน้ำหมึกทีละเส้นอย่างละเอียดละออ อีกมือหนึ่งกุมหน้าปกหนังสือให้เปิดออก เขียนเสร็จแล้วส่งมอบแก่ฉันพร้อมระบายยิ้มที่มุมปาก เล็ก ๆ
ผู้เขียนรับมาด้วยหัวใจอันพองโต  นึกในใจ... นี่ซินะ พลานุภาพแห่งน้ำหมึก 

Friday, May 16, 2014

ข้าว ผลิตผลจากสรวงสวรรค์



ข้าว ผลิตผลจากสรวงสวรรค์ 
credit: bangkokpost.com

วิถีชีวิตของไทยรวมไปถึงผู้คนในแถบภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ผูกพันเกี่ยวโยงกับข้าวมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานมาแล้ว สมญานามดินแดนบนเปลือกโลกนี้ว่า “สุวรรณภูมิ”
ในสังคมไทยมีตำนาน/นิทาน/เรื่องเล่า ความเชื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับเมล็ดข้าวพราวอร่ามไว้หลากหลายเรื่อง โยงขึ้นสู่ชั้นฟ้ามหาเทวาลัย โดยมีการเล่าขานสืบต่อกัน (อ้างถึงใน ขวัญข้าว ขวัญเรา, ถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล บก., มูลนิธิเด็ก, 2557) เมื่อก่อนสรวงสวรรค์กับโลกมนุษย์อยู่ใกล้กันเพียงชั้นฟ้ากั้น โดยมีเทพธิดาโพสพ เป็นผู้ปกปักรักษา วันหนึ่งสะพานสายรุ้งทอดยาวลงเชื่อมสวรรค์กับพื้นโลก เมล็ดข้าวเท่าลูกมะละกอร่วงลงสู่พื้นโลกมนุษย์ แรก ๆ มนุษย์ก็รักษาไว้เป็นอย่างดี จนมีเรื่องให้งอนง้อกันระหว่างพระแม่โพสพกับมนุษย์ เป็นเหตุให้เรียกข้าวเมล็ดโตนั้นคืน มนุษย์โลกเฝ้าขอวิงวอนให้โปรดนำข้าวกลับมาปลูกบนพื้นโลกมนุษย์อีกครั้ง จากเมล็ดข้าวทั้งเจ็ด ผ่านเวลาหลายชั่วอายุคน จนกลายเป็นทุ่งรวงทองเหลืองพราวอร่ามเรืองรอง ผู้คนได้ใช้กินเป็นอาหารหลัก มีชีวิตอยู่เต็มเปี่ยมสุข
ในอุดมคติผูกความเชื่อจากตำนานข้างต้น ประเพณีแรกนาขวัญ ในไทยจึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อเป็นการบูชาพระแม่โพสพ ก่อนหน้าพิธีพราหมหนึ่งวันเป็นส่วนของพิธีพุทธ สองพิธีกรรมจากฝ่ายพุทธศาสนาและฮินดู ชี้ให้เห็นรากลึกขนบวัฒธรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยด้วยกัน
ในวันพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประชาชนโดยส่วนใหญ่แล้วที่เป็นลูกหลานกสิกร นั่งรอเรียงรายเกาะรั้วกั้น เพื่อรอเวลาที่ทหารและตำรวจในส่วนพิธีล้มรั้วกั้นชั่วคราวลง เมื่อเสียงแตรสังข์และกลองมโหระทึกสิ้นเสียง ประชาชนมากหน้าต่างวิ่งกรูเข้าไปยังลานดินทรายที่ทำพิธีเบิกไถหน้าดินและหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ ทุกคนสับขาให้ทันกัน วิ่งแทรกตัวเข้าจับจองพื้นที่เก็บเมล็ดข้าวตักใส่ถุงที่เตรียมมา
อากาศร้อนอบอ้าวไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวเหล่านั้นเลย ทุกคนคอยระมัดระวังพื้นที่ของตนไว้ไม่ให้ใครเข้ามารุกล้ำ จวบจนสักพักเม็ดเหงื่อเริ่มย้อยเคล้าซึมบนดินทรายผสมปนกันไปกับเมล็ดข้าว ผู้คนเริ่มส่งเสียงพูดคุยกัน ขณะที่ต่างคนต่างก้มหน้า!  
คนกลุ่มหนึ่งพูดคุยกันอย่างออกรสพร้อมเสียงหัวเราะท่ามกลางแสงแดดระอุ ฉันละสายตาจากพื้นดิน มองไปยังหญิงชายวัยกลางคนกลุ่มนั้น มือของทุกคนต่างกวาด คุ้ยหาเมล็ดข้าว ตักใส่ในถุง นั่งยอง ๆ ก้มหน้าปล่อยให้เม็ดเหงื่อสาบคาวหยดลงพื้นเป็นระยะ จับใจความได้ว่าหลายคนในกลุ่มนั้นมาจากภาคอีสานเช่นกัน แน่หล่ะ...ก็ทุกคนในกลุ่มใช้ภาษาอีสานสื่อสารกัน ทุกหวังมาโกยเมล็ดข้าวไปปลูกในพื้นที่นาของตัวเองและญาติพี่น้อง
“ข่อยเป็นตัวแทนของหมู่บ้านเลยเด้นิ” หญิงแก่คนหนึ่งเว้าภาษาอีสานอย่างภาคภูมิใจ พร้อมยกถุงโชว์ ในนั้นเต็มไปด้วยเมล็ดข้าวนับร้อย
“เป็นตาออนซอนแท้เจ้า” ทุกคนส่งเสียงตอบรับแสดงความอิจฉา แต่ไม่ยักกะมีใครเงยหน้ามามองแม่เฒ่า แม้แต่ปรายตาเดียว!

Wednesday, May 14, 2014

one way up! นำทางบุญ



One way up  นำทางบุญ
Golden Mount เจดีย์ภูเขาทอง
ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นำมาซึ่งความขุ่นหมองข้องใจ ใช่ไหมเล่า?
ฉะนั้นแล้วปัญหาเรื้อรังควรต้องเร่งปรับปรุง แก้ไข ออกแบบเครื่องมือใด ๆ ก็แล้วแต่ ที่จะคลี่คลายความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ให้วิถีการทำบุญมีแนวทางที่ควรจะเป็น ตามครรลองของความอิ่มเอมใจ
ใช่แล้ว...วันนี้ไปเวียนเทียนเป็นพุทธบูชามา เนื่องในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนวิสาขะ ณ วัดภูเขาทอง
การทำบุญ เป็นวัตรแห่งชาวพุทธที่นิยมทำกันโดยส่วนมาก เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่สอดคล้องกับความเลื่อมใสศรัทธา ความคาดหวังว่าจะได้หลังจากเดินทางไปทำบุญในแต่ละวัดก็เห็นจะเป็น การได้รับความสุขใจ มีความอิ่มเอมใจ รู้สึกสงบ แต่บางทีหลายต่อหลายเรื่องทำให้เกิดความหงุดหงิด ได้แก่ จุดถอดรองเท้า กระถางปักธูปเทียน ดอกไม้สดใหม่ ฯลฯ
บ่อยครั้งที่หลายคนแสดงออกอาการหงุดหงิดผ่านทางสีหน้า บางคนทนไม่ไหวถึงกับสบถคำผรุสวาทออกมาท่ามกลางเหล่าพุทธบริษัท ปัญหาที่พบกันอยู่หลายวัดนั่นก็คือ เลนเส้นทางการเดิน หรือว่าความจริงแล้ว มนุษย์ไทย นี้ไม่มีเลนที่แน่ชัดโดยจิตสำนึกอยู่เลย? เดินสวนทางชนกันไปมา หน้าประตูโบสถ์ เบี่ยงตัวเบียดกันอยู่หน้าอุโบสถ เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอ หลบซ้ายก็ซ้ายด้วยทางเดียวกัน เหมือนเต้นรำอย่างไรอย่างนั้น
ลูกศรชี้ทาง จึงเป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาให้มนุษย์ทั่วโลก เข้าใจตรงกันว่าสัญลักษณ์นี้คือ ให้ตามไป...แต่โดยดี ไปสักการะเจดีย์ยอดภูเขาทองถึงสองครั้งสองคราว ประทับใจปนงวยงง อยู่ครู่ใหญ่ในทุกครั้ง วัดนี้นำสัญลักษณ์ลูกศร มาใช้จัดการระเบียบการขึ้นลงได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะไทยหรือฝรั่งก็ไม่มีวันชนกันเป็นแน่ ทางวนขึ้นกับวนลง คนละเส้นทางกัน ใช้ระบบวันเวย์ ต่างคนต่างขึ้นและต่างคนต่างลง ไม่ข้องเกี่ยวกัน ลดปัญหาความขุ่นเคืองใจไปได้มากโข ที่สำคัญบนความสูงระดับนั้น อาจเกิดอันตรายได้ 

เมื่ออ่านประวัติศาสตร์การสร้างวัดแล้วถึงกับอึ้งไปอีกดอก วัดนี้ถูกสร้างขึ้นหลายร้อยปีในต้นราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นั่นก็หมายความว่า ระบบการปลูกฝังให้พุทธศาสนิกชนมนุษย์ไทย เดินวนทางเดียว ขึ้นไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนยอดภูเขาทอง ได้รับการออกแบบ มานมนานแล้ว
ผู้เขียนและน้องสาวเดินวนลงอีกฝั่งหนึ่งด้วยจิตใจที่เบิกบาน หยุดชมวิวระหว่างขั้นบันไดเป็นระยะ ก็ไม่ได้กระทบต่อการสัญจรของมนุษย์ไทยคนอื่นเลย เพราะต่างหันหน้าไปในทางเดียวกัน จะเบี่ยงตัวหลบบ้างก็ไม่ส่งผลให้เส้นทางติดขัด
กระนั้นแล้ว ยังมิวายมีเด็กผู้ชายโพล่งขึ้น ตรงจุดพักชมวิวที่มีแยกขั้นบันไดออกเป็นสองด้าน คาดว่าคงเป็นทางเชื่อมกับวันเวย์ขาขึ้น แต่โดนกั้นไว้ด้วยกระถางบัวดินเผาใบมหึมา มีป้ายกำกับห้ามผ่าน
 “ม๊ะม๊า เราเดินลงทางนี้กันได้ไหมฮ่ะ?” เด็กชายชี้มือขณะลอดตัวผ่านช่องกระถาง